14 ที่เที่ยวมุมมองใหม่ สดใสกว่าเดิม @นครสวรรค์-พิจิตร

ลมหนาวพัดโชยมาแล้ว แม้ปีนี้ฝนจะตกเยอะหน่อย และอากาศยังไม่หนาวจัดมาก ทว่าคนที่รักการท่องเที่ยวแบบเราก็ยังคงออกเดินทาง ค้นหาสถานที่แปลกใหม่สวยงามทั่วเมืองไทย ทริปนี้ขอชวนไปเที่ยวง่ายๆ ไม่ไกลจากเมืองกรุงที่ “นครสวรรค์-พิจิตร” กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดมุมมองใหม่ภาคเหนือตอนล่างภาคกลางตอนบน รับรองว่าจะทำให้คุณต้องรีบเก็บกระเป๋าออกเดินทางกันเลยทีเดียว

(1). ทุ่งปอเทือง ไร่ธรรมชัย จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอตากฟ้า)
ทุ่งปอเทืองไร่ธรรมชัย อยู่ที่บ้านซับตะเคียน อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์  ไม่ได้มีให้ชมกันตลอดปี ต้องรีบตัดสินใจไป เพราะจะมีเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น ประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม หลังจากนั้นพื้นที่กลับไปเป็นทุ่งข้าวโพด และเปลี่ยนสลับมาปลูกปอเทืองและดอกทานตะวันเพื่อการท่องเที่ยว ในฤดูหนาว (ศูนย์บริการข้อมูล โทร. 0-5636-3085)
ในพื้นที่หลายร้อยไร่ ดอกปอเทืองสีเหลืองอร่ามสะพรั่งบานรับท้องฟ้าอันสดใส มีมุมถ่ายภาพเก๋ๆให้ด้านหน้า เป็นบันไดไต่ฟ้า โพสต์ท่าถ่ายภาพประทับใจไว้อวดเพื่อนๆ ได้ไม่อายใคร ค่าเข้าชมก็ไม่แพง แค่คนละ 10 บาทเท่านั้น ติดอยู่นิดเดียวตรงห้องน้ำมีน้อยและไม่ค่อยสะดวก ก่อนเข้ามาเที่ยวจึงอาจจะต้องหาที่แวะทำธุระส่วนตัวมาให้เรียบร้อยนอกจากดอกปอเทืองกับทานตะวันแล้ว ยังมี ดอกหงอนไก่ สีสดใสให้ชื่นชมด้วยทุ่งดอกคอสมอส ไร่ธรรมชัย อยู่ตรงทางเข้าก่อนถึงส่วนที่เป็นทุ่งปอเทืองแค่มองจากด้านหน้าตรงริมถนนเข้าไปใน ไร่ธรรมชัย ก็สวยตื่นตาตื่นใจแล้วล่ะ ดอกปอเทืองเป็นพืชตระกูลถั่ว ที่มีประโยชน์มากต่อเกษตรกร เพราะหลังจากเก็บเกี่ยวพืชไร่หลักเสร็จแล้ว ก็นิยมปลูกปอเทืองเพื่อบำรุงดิน ช่วยเติมไนโตรเจนและธาตุอาหารต่างๆ ให้ดินได้อย่างดี หลายคนอาจไม่รู้ว่าปอเทืองเป็นพืชที่พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้เกษตรกรนะจ๊ะ จากทางเข้าด้านหน้า มีรถแทรกเตอร์พ่วงให้บริการ พานั่งชมไปรอบๆ ไร่ธรรมชัย มุมไหนสวย สามารถจอดรถลงไปเก็บภาพได้เต็มที่เลย ช่วงกลางวันแดดร้อนหน่อย แต่ก็ได้ภาพแจ่มแจ๋วดีเนอะ(2). กองเสบียงฟาร์ม จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอเมืองฯ)
ชื่อ “กองเสบียงฟาร์ม” ฟังดูอาจไม่คุ้นหูเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่เอี่ยมอ่องของจังหวัดนครสวรรค์ เพิ่งเปิดตัวแบบไม่เป็นทางการเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2565 นี่เอง ในพื้นที่หลายสิบไร่จัดเป็น Theme Park สไตล์ฟาร์ม เพื่อการเรียนรู้ของทุกคน โดยเฉพาะเยาวชน นำแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ให้สัมผัสได้อย่างลงตัว มากันเป็นครอบครัวมีกิจกรรมสันทนาการแบบ Soft Adventure และมุมพักผ่อนถ่ายภาพมากมาย

(เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. ปิดทุกวันจันทร์ / คนที่เข้ามาวิ่งออกกำลังกาย เข้าได้ตั้งแต่เวลา 07.00 น. / ที่นี่เข้าฟรี แต่กิจกรรมบางอย่างต้องเสียค่าบริการเพิ่มเล็กน้อย เช่น ยิงปืน, ขี่รถ ATV ฯลฯ / สอบถามเพิ่มเติมที่ อบต.นครสวรรค์ออก โทร. 0-5621-7863) ชื่อ “กองเสบียงฟาร์ม” มีที่มาคือพื้นที่ตรงนี้จริงๆ เป็นเขตทหารของกองเสบียง จึงนำชื่อมาใช้ให้เป็นกิมมิกเก๋ๆ สามารถเที่ยวเชื่อมโยงกับแหล่งเรียนรู้อื่นๆ ได้หลายแห่ง อาทิ ศูนย์บินฝนหลวง, ท้องฟ้าจำลองนครสวรรค์, แปลงผักออร์แกนิก ฯลฯ เรียกว่าเที่ยวไปเรียนรู้ไป สนุกแบบมีสาระกันได้ทั้งครอบครัว ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของ อบต. นครสวรรค์ออก ซึ่งเริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี 2561 และมาเปิดตัวในปลายปี 2565 นี่เอง กองเสบียงฟาร์ม มีมุมถ่ายภาพเก๋ๆ นำเอาธีมของความรัก Falling in Love เข้ามาเพิ่มความเก๋ให้พื้นที่
ต้นไม้แห่งความรัก Tree House of Love สามารถเดินขึ้นบันไดไปนั่งชมวิวมุมสูง หรือนั่งดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ชมธรรมชาติแมกไม้สีเขียว
ร้านกาแฟและพี่กอริลลา เป็นมุมถ่ายภาพ Landmark ของกองเสบียงฟาร์มที่ห้ามพลาดกองเสบียงฟาร์ม มีสัตว์หลายอย่างให้เที่ยวชม ทั้งแกะ ม้า กระต่าย ปลาคาร์ป สามารถเที่ยวชมโดยใช้วิธีเดิน นั่งรถพ่วง หรือขี่รถ ATV ก็ได้ มีให้เช่าเป็นชั่วโมงหรือเป็นรอบๆ
เด็กๆ มาเที่ยวที่ กองเสบียงฟาร์ม น่าจะมีความสุขมาก เพราะมีสนามเด็กเล่นสร้างไว้ให้โดยเฉพาะเลย หนึ่งในไฮไลท์ของ กองเสบียงฟาร์ม คือ “บ่อปลาคาร์ปนับหมื่นตัว” ที่แหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำใสสีเขียวมรกต พร้อมด้วยซุ้มที่นั่งปิกนิกกินอาหารกันได้แบบชิวชิว ใครที่ชอบกิจกรรมผจญภัยแบบ Soft Adventure ต้องไม่พลาด ขี่รถ ATV สี่ล้อโต วนไปในถนนรอบๆ กองเสบียงฟาร์ม มีรถทั้งแบบเกียร์ออโต้ และเกียร์ธรรมดา ให้เลือกตามถนัด เสร็จแล้วอย่าลืมไปยิงปืนอัดลมต่อด้วยนะ ฝึกสมาธิและความแม่นยำได้ดีมาก
(3). ถนนคนเดินริมน้ำชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอชุมแสง)ด้วยระยะทางเพียงประมาณ 40 กิโลเมตร จากอำเภอเมืองนครสวรรค์ ไม่นานก็ถึง “อำเภอชุมแสง” ดินแดนที่มีแม่น้ำน่านไหลผ่าน จึงเป็นเส้นทางคมนาคมและค้าขายทางน้ำอันรุ่งเรืองเฟื่องฟูมาแต่อดีต ทุกวันนี้กลับมามีชีวิตชีวาเมื่อมี “ถนนคนเดินริมน้ำชุมแสง” เปิดภาพบางส่วนเสี้ยวของอดีตให้เราสัมผัส ท่ามกลางกลิ่นอายอดีตนั้น มีภาพความงามของศิลปะร่วมสมัยเข้ามาเจือ ช่วยเพิ่มเสน่ห์น่าเดินทอดน่องท่องเที่ยวในเวลาเย็นย่ำในชุมชนริมน้ำย่านตลาดเก่า มีการจัดมุม Check In เก๋ๆ และภาพถ่ายในอดีตของชุมแสงไว้ให้ดู ไฮไลท์ของถนนคนเดินริมน้ำชุมแสง เผยตัวขึ้นเมื่อแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ฉานฉาย ถนนคนเดินที่มีร้านรวงขายอาหารนานาชนิดเริ่มเปิดไฟ พร้อมด้วยที่นั่งเล่นริมแม่น้ำน่าน แลเห็นสะพานแขวนทอดข้ามแม่น้ำ และอาทิตย์อัสดงได้ชัดเจน ที่นี่มี Icon เป็นหน้ากากเอ็งกอ หนึ่งในการแสดงมีชื่อเสียงของนครสวรรค์ ของกินพื้นบ้านหลากหลาย เดินเที่ยวไปกินไปกันจนอิ่มแปล้แน่นอนที่ ถนนคนเดินริมน้ำชุมแสงสะพานหิรัญนฤมิต เชื่อมสองฝั่งแม่น้ำน่าน หน้าตลาดถนนคนเดินชุมแสงแสงสุดท้ายของวัน ณ ถนนคนเดินริมน้ำชุมแสงจากสะพานหิรัญนฤมิตมองกลับลงไปยังฝั่งตลาดเก่าชุมแสง แลเห็นภาพรวมของริมน้ำ ถนนคนเดิน ตลาด และอาคารบ้านเรือน ที่มีอดีต มีเรื่องเล่าเรื่องราวมากมายให้ค้นหา (4). ตลาดฟื้นอดีตบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร (อำเภอบางมูลนาก)
ใครที่โหยหาอดีตและรักงานศิลปะร่วมสมัย ถ้าได้มาเยือน “ตลาดฟื้นอดีตบางมูลนาก” คงมีความสุขล้นเหลือ เพราะที่นี่คือตัวแทนของหนึ่งในชุมชนชาวไทยจีนริมแม่น้ำน่าน ซึ่งไหลเชื่อมโยงพิจิตร-นครสวรรค์เข้าด้วยกัน บนเส้นทางค้าขายทางน้ำในอดีต ว่ากันว่าเดิมที่นี่ชื่อ “บางขี้นาก” เพราะมักมีตัวนากขึ้นมาถ่ายมูลไว้ริมตลิ่งมากมาย ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า “บางขี้นาก” แล้วได้เปลี่ยนชื่อให้ไพเราะเสนาะหูขึ้นภายหลังว่า “บางมูลนาก” ทุกวันนี้ตลาดเก่าบางมูลนากได้พลิกฟื้นคืนสภาพ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว บอกเล่าเรื่องราวของชุมชนผ่านมุมถ่ายภาพเก๋ๆ มีเส้นทางเดินเที่ยว Slow Life ลัดเลาะเข้าไปชมเรือนไม้เก่าสองชั้น ที่มีทั้งร้านตัดผมเก่า ร้านยาเก่า ศาลเจ้าพ่อแก้วหลังเก่า ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ชุมชน และมุมร้านกาแฟริมน้ำน่านน่านั่ง จากบริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อแก้วหลังเก่าในชุมชนบางมูลนาก มองไปจะเห็นโค้งแม่น้ำน่านอันสวยงาม คงความสงบร่มรื่นของแมกไม้สีเขียวสองฝั่ง กำลังมีการสร้างสะพานทางเดินชมวิวและสวนหย่อมริมน้ำ นับเป็นมุมธรรมชาติที่ห้ามพลาด
ภาพ Street Art เก๋ๆ ตลอดเส้นทางเดินชมชุมชนบางมูลนาก สะท้อนกลิ่นอายวัฒนธรรมจีนของคนบางนี้ ที่บางมูลนากมีพิพิธภัณฑ์ชุมชนเปิดให้ชมและถ่ายภาพได้ฟรีทุกวัน ลองเข้าไปสัมผัสเรื่องราวความเป็นมาของชุมชนจีนริมน้ำน่าน ที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูเมื่อเกือบร้อยปีก่อน จริงๆ แล้วเสน่ห์อีกอย่างของบางมูลนากคือ ของกินอร่อยๆ รสชาติดั้งเดิม ที่นักชิมต้องตามหา ไม่ว่าจะเป็น ขนมจีบซาลาเปา เจ๊เชียร ขายมากว่า 40 ปี, น้ำแข็งใสหวานเย็นแบบโบราณ (ซอยธนาคารกสิกรไทย), ก๋วยเตี๋ยวรสเด็ด เจ๊เม้าเจ้าเก่า (มาจากสี่แยกบางมูลนาก เลยบิ๊กซีไป อยู่ขวามือ), Chang Coffee & Ice Cream, บ้าบิ่นบางมูลนาก ที่ขายมากว่า 35 ปี มีกลิ่นใบเตย กลิ่นข้าวเหนียวดำ กลิ่นนมแมวแบบโบราณ (อยู่ติดธนาคารกรุงไทย สาขาบางมูลนาก) ฯลฯ เตรียมล้างท้องมากินกันได้เลยจ้า(5). ศาลเจ้าพ่อแก้ว อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร
ห่างจากชุมชนริมน้ำบางมูลนากไปนิดเดียวคือที่ตั้งของ “ศาลเจ้าพ่อแก้ว” อันเป็นศูนย์รวมใจรวมศรัทธาของคนบางมูลนากมาหลายชั่วอายุคน ศาลเจ้าดั้งเดิมเก่าแก่ที่มีขนาดเล็กนั้น จริงๆ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านในชุมชนบางมูลนาก ทว่าภายหลังได้มีการอันเชิญเจ้าพ่อแก้วหรือปึงเถ่ากงให้มาสถิตอยู่ในศาลใหม่แทน โดยทุกปีช่วงเดือนธันวาคมจะมีการจัดงานฉลองเจ้าพ่อแก้วอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยขบวนแห่ล่อโก๊ว สิงโต เอ๊งกอ และขบวนแห่เปียของสาวงาม ฟ้อนรำสนุกสนาน(6). ย่านเก่าวังกรด จังหวัดพิจิตร (อำเภอเมืองฯ)
หากใครเคยนั่งรถไฟสายเหนือและสังเกตให้ดีจะคุ้นชื่อ “สถานีรถไฟวังกรด” นี่คือหนึ่งในชุมชนจีนย่านการค้าตลาดที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันได้จัดท่องเที่ยวแบบน่ารักๆ ภายใต้ชื่อ “ย่านเก่าวังกรด” ฟื้นภาพอดีตร้อยปีให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง บวกกับเสน่ห์ของกินพื้นเมืองอร่อยๆ เพียบ ทำให้ย่านเก่าวังกรดมีชื่อเสียงระบือไกล แม้แต่คนในตัวอำเภอเมืองพิจิตรก็ยังขับรถมากินข้าวเที่ยงกันที่นี่เลยหอนาฬิกาหน้าสถานีรถไฟวังกรด Land Mark สำคัญของย่านเก่าวังกรดเดินทอดน่องท่องเที่ยวอย่างแช่มช้า ชมเรือนไม้โบราณในย่านร้านตลาด แวะร้านโชห่วยเก่าแก่ พูดคุยกับคุณลุงเจ้าของร้าน อดีตนักแบตมินตันมือฉมัง ฟื้นเรื่องราวอดีตน่ารักๆ ให้เราฟัง ศาลเจ้าพ่อวังกลม อันศักดิ์สิทธิ์ คือศูนย์รวมใจรวมศรัทธาของชาววังกรดมานับร้อยปีแล้ว ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่สุดซอยริมน้ำหน้าสถานีรถไฟ แต่ทุกปีช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน จะมีการจัด “งานฉลองเจ้าพ่อวังกลม” หรือ “งานงิ้ว” อันเชิญเจ้าพ่อออกมาตั้งปรัมพิธีอยู่กลางตลาด ให้ลูกหลานได้สักการะ และชมงิ้วในยามค่ำกันอย่างสนุกสนาน พร้อมด้วยออกร้านของกินขึ้นชื่อย่านเก่าวังกรดนับสิบๆ เมนูงานงิ้วช่วงเดือนพฤศจิกายน ณ ย่านเก่าวังกรด เพลิดเพลินกับนาฎศิลป์จีน ที่งดงามด้วยท่ารำ บทร้อง และดนตรีจีนอันมีเอกลักษณ์ ทุกคืนจะแสดงในท้องเรื่องต่างกันไป เริ่มตั้งแต่ราวๆ หนึ่งทุ่มถึงเที่ยงคืนขึ้นชื่อว่าย่านเก่าวังกรดเป็นศูนย์รวมของกินพื้นบ้านอร่อยๆ ไว้เพียบ หนึ่งใน Signature Menu ที่หาชิมได้ตลอดปีคือ “หมูสะเต๊ะเจ๊หยี” ขายมาไม่ต่ำกว่า 30-40 ปี รสชาติอร่อยไม่เปลี่ยน เอกลักษณ์คือเนื้อหมูนุ่มมาก แต่ละไม้ขนาดพอดีคำ มีอาจาดผักและน้ำจิ้มถั่วเป็นเครื่องเคียง และด้วยขนาดแต่ละไม้ที่ไม่ใหญ่มาก ถ้ากินเพลินๆ กินให้อิ่ม คนละ 20 ไม้ก็ยังไม่พอ ขอบอกเลยว่าเจ๊หยีขายวันหนึ่งได้เป็นแสนๆ บาท เรียกว่าขายแบบนับไม้กันไม่ทันเลยล่ะในงานงิ้วประจำปีของย่านเก่าวังกรดมีของกินอร่อยๆให้ชิมหลากหลาย ทั้งข้าวต้มปลาสูตรน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวโบราณ, ปลาแม่น้ำเผาสดๆ เนื้อนุ่มหวานฉ่ำ, ขนมเบื้องโบราณ, ออส่วน, หอยจ๊อ และอาหารจีนต่างๆ เมื่อพูดถึง “บัวลอยหน้างอ” ในบรรดานักชิมอาหารพื้นบ้านชื่อดังคงไม่มีใครไม่รู้จัก “เจ๊ดม” ผู้มีชื่อเสียงแห่งวังกรด กับเมนูบัวลอยไข่หวานสูตรโบราณ ขายมานานหลายสิบปีจนโด่งดัง ด้วยวัตถุดิบคุณภาพ เนื้อแป้งนุ่มหนึบ น้ำกะทิหวานหอมกลมกล่อม ไม่หวานจัด และเม็ดบัวลอยปั้นมือเล็กๆ จุ๋มจิ๋ม กินอร่อย แต่ที่ทำให้ทุกคนจำเจ๊ดมได้ไม่ลืม คือเสียงพูดดังโววายสไตล์จริงใจ เสียงได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน บางทีขายไปด่าไปแบบน่ารัก ทำให้ลูกค้าติดใจ มายืนต่อคิวกันเนืองแน่นตลอดวัน“ผัดไทยหอยทอด ร้านเจ๊กำไล” ย่านเก่าวังกรด คืออีกหนึ่งเมนูชื่ดังที่ห้ามพลาด แป้งนุ่ม เนื้อหอยสดรสดี มีขายทุกวันจ้าไม่ไกลจากหอนาฬิกาหน้าสถานีรถไฟวังกรด เดินเลาะริมถนนมาตามย่านเรือนไม้เก่า ด้านขวามือจะพบกับร้าน “ฮะ เตี๋ยวปิ่นโต” ร้านอร่อยที่มีกิมมิกรักษ์สิ่งแวดล้อม ใช้ภาชนะแบบโบราณที่เราคุ้นเคยเสิร์ฟให้ลูกค้า เมนูเด่นในร้านบรรยากาศย้อนยุคมีทั้งก๋วยเตี๋ยวหมูแดงแห้ง-น้ำ เล็กต้มยำ บะหมี่เส้นเล็กเส้นใหญ่ ฯลฯ รวมถึงกาแฟเย็นโบราณรสชาติเข้มข้น แต่ที่ประทับใจสุดๆ ก็คือรอยยิ้มและน้ำใจไมตรรีของแม่ค้านี่ละ ของกินเล่นในย่านเก่าวังกรดมีหลายอย่าง ห้ามพลาด “สาคูไส้หมูป้าเฒ้า” ที่ขายมาไม่ต่ำว่า 40 ปี ร้านนี้เป็นบ้านไม้เก่าสองชั้นเล็กๆ แอบอยู่ด้านซ้ายมือในซอยเดินเข้าศาลเจ้าริมน้ำ เสน่ห์ของสาคูไส้หมูป้าเฒ้าคือ เนื้อแป้งหนุ่มหนึบ ลูกเล็กพอดีคำ เนื้อสาคูไม่ได้มีแต่ถั่ว ทว่ายังมีส่วนผสมของเนื้อหมูในสัดส่วนลงตัว รสชาติไม่หวานจัด กินเพลินมากฝั่งตรงข้ามร้านฮะเตี๋ยวปิ่นโต แค่ข้ามถนนมาจะพบร้านขนมหวานเจ้าดังของย่านเก่าวังกรด มีทั้งซื้อกลับบ้านและนั่งกินที่ร้าน คงเอกลักษณ์ของขนมตักใส่ถ้วยแบบโบราณ สั่งได้ตามใจชอบสามสี่อย่าง จะแต่งหน้าด้วยขนมปังหรือไม่ก็ได้ ร้านนี้ขายดีมากนะ บ่ายๆ ก็หมดแล้ว ชิมอาหารพื้นบ้านอร่อยๆ ของย่านเก่าวังกรดกันมาเพียบจนอิ่มแปล้ ต้องเผื่อท้องไว้ให้ “น้ำมะนาวดอง ร้านไซ้ลุ่ย” ด้วย ร้านนี้ขายมากว่า 50 ปี สืบทอดวิธีการดองมะนาวแบบดั้งเดิมมาจากบรรพบุรุษ เป็นอาหารแบบจีนที่หาชิมยากมากแล้วในปัจจุบัน จัดเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่ช่วยบำรุงร่างกายก็คงจะไม่ผิดนัก วิธีการคือคัดเลือกมะนาวแป้นอย่างดี มาดองน้ำเกลือ สลับกับการตากแห้งจนได้ที่ ใครผ่านไปผ่านมาแถวหอนาฬิกาหน้าสถานีรถไฟวังกรด จะเห็นร้านไซ้ลุ่ยไม่ยาก สั่งแบบใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจ เดินดูดไปเที่ยวไปได้สบายเลยจ้า
(7). ชิมฮง คาเฟ่ (Chim Hong Cafe) ย่านเก่าวังกรด จังหวัดพิจิตร (อำเภอเมืองฯ)
ร้านคาเฟ่สไตล์ Chinese Vintage สุดฮิป เปิดใหม่ ที่มาแรงแซงทางโค้งในทุกมิติของย่านเก่าวังกรด “ร้านชิมฮง คาเฟ่” นำชื่อมาจากชื่ออากงเจ้าของร้าน ใช้อาคารเก่ามาพลิกโฉมเป็นคาเฟ่น่ารักๆ สำหรับทุกคน ได้มานั่งพักผ่อนรับแอร์เย็นๆ กัน นอกจากเครื่องดื่มหลากหลายแล้ว ที่นี่ยังมีโซนห้องแอร์ และโซน Outdoor ในสวนสวยบรรยกาศดี (โทร. 09-7216-2389 / เปิดเฉพาะวันหยุด เวลาประมาณ 9.00-16.00 น.)เครื่องดื่มของชิมฮง คาเฟ่ มีให้เลือกเยอะจริงๆ เมนูพิเศษๆ เช่น กาแฟมะพร้าว และกาแฟใส่ลอดช่อง ให้กลิ่นอายโบราณแบบจีนๆ ได้ดีเยี่ยม
(8). บ้านหลวงประเทืองคดี ย่านเก่าวังกรด จังหวัดพิจิตร (อำเภอเมืองฯ) การเดินเที่ยวย่านเก่าวังกรดจะสมบูรณ์ไปไม่ได้เลย หากเราไม่ได้แวะเข้าไปชม “บ้านหลวงประเทืองคดี” อาคารทรงตึกหลังแรกของย่านเก่าวังกรด ซึ่งปัจจุบันได้รับการบูรณะดูแลอย่างดีจากเทศบาล จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของชุมชนวังกรด อาคารทรงตึกสีขาวหลังนี้เป็นของ หลวงประเทืองคดี นายกเทศมนตรีคนแรกของเมืองพิจิตร ผู้ริเริ่มสร้างตลาดวังกรดในบริเวณที่เรียกว่า “ท้องมังกร” เพราะชาวจีนเปรียบแม่น้ำน่านดุจมังกร การสร้างตลาดในบริเวณโค้งน้ำที่เป็นท้องมังกรจะทำให้การค้ารุ่งเรือง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะตลาดวังกรดมีด้านหน้าติดทางรถไฟ มีท้ายตลาดติดแม่น้ำ แถมปัจจุบันยังมีถนนเข้าถึงได้ง่ายอีกด้วย บ้านหลวงประเทืองคดี มีความเกี่ยวโยงกับชาวเวียดนามอพยพในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย โดย นายทอง ไทยตรง และนางแจง (หรือย่าแจง) เป็นคู่สามีภรรยาชาวเวียดนาม ที่อพยพลี้ภัยเข้ามาอยู่ที่วังกรด จริงๆ แล้วนายไทยตรงคือมือขวาของท่านโฮจิมินห์นักปฏิวัติชาวเวียดนาม ต่อมาภายหลังนายไทยตรงถูกลอบสังหาร ย่าแจงได้พบรักกับหลวงประเทืองคดี และครองคู่กันมา อาคารหลังนี้จึงใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน รวมถึงใช้เป็นที่หลบภัยการทิ้งระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย

ในภาพถ่ายที่เห็นนี้ คือ นายแพทย์วรสิทธิ์ ทายาทรุ่นที่ 5 ซึ่งได้มอบอาคารหลังนี้ให้ทางเทศบาลดูแล เป็นสมบัติส่วนรวมของชุมชนวังกรด ใช้เพื่อการเรียนรู้ และเป็นอาคารประวัติศาสตร์สืบไป
นายแพทย์วรสิทธิ์มีอาชีพเป็นทนายความ ชั้นล่างของอาคารจึงจัดเป็นห้องทำงานของท่าน พร้อมด้วยภาพถ่ายของนายไทยตรงและคุณย่าแจง ติดอยู่ที่ฝาผนัง ส่วนสีขาวที่ทาฝาหนังนั้นจริงๆ แล้วเป็นสีขาวจากดินชนิดหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปจะกลายเป็นสีเหลืองนวลสวยงามตามธรรมชาติ ชั้นบนของอาคารคือห้องนอนของท่านเจ้าของบ้าน เครื่องเรือนที่เห็นทุกชิ้นคือของจริงดั้งเดิมแท้ๆ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนย่านเก่าวังกรด สามารถจอดรถยนต์ส่วนตัวไว้ที่ลานจอดรถหน้าบ้านหลวงประเทืองคดี แล้วนั่งรถพ่วงของเทศบาล เข้าไปเที่ยวในชุมชนได้ฟรีเลยนะจ๊ะ(9). ล่องเรือดูหิ่งห้อย ตลาดดอกเดื่อ จังหวัดพิจิตร (อำเภอโพธิ์ประทับช้าง)
ในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ไปเปิดประสบการณ์ใหม่สัมผัส ชุมชนบ้านโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร ที่ร่วมกันสรรค์สร้างตลาดพื้นบ้านในชื่อ “ตลาดดอกเดื่อ” (ดอกเดื่อ เป็นชื่อเล่นของพระเจ้าเสือ พระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้ทรงประสูตรที่วัดโพธิ์ประทับช้าง ในบริเวณใกล้ๆ กันนี้) ตลาดจัดเฉพาะเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมเท่านั้น เปิดเวลาประมาณ 18.00-23.00 น. เน้นขายอาหารพื้นบ้านง่ายๆ อย่างยำส้มโอ และหม้อไฟ ปลาเผา นั่งกินไปพร้อมชมการแสดงรำวงย้อนยุคของแม่บ้าน เสร็จแล้วล่องเรือชมหิ่งห้อยในแม่น้ำพิจิตสายเก่า บรรยากาศพื้นบ้านแบบน่ารักๆ ของ ตลาดดอกเดื่ออิ่มแล้วก็ต้องล่องเรือชมหิ่งห้อยในแม่น้ำพิจิตรสายเก่า จากตลาดดอกเดื่อไปประมาณ 1 กิโลเมตร เรือลำหนึ่งนั่งได้ไม่เกิน 6-8 คน ค่าเช่าเรือเที่ยวละ 200 บาท หิ่งห้อยที่นี่ตัวใหญ่กว่าของจังหวัดสมุทรสงคราม และไม่ได้เกาะอยู่ที่ต้นลำพู เพราะที่นี่ไม่มีต้นลำพู ฝูงหิ่งห้อยจึงเกาะอยู่บนกอผักตบชวาแทน ถ้าอยากเห็นเยอะๆ ต้องมาในคืนข้างแรมที่ลมค่อนข้างสงบ เพราะถ้าลมแรงหิ่งห้อยจะบินขึ้นไปหลบตามกอไม้ริมน้ำกันหมด อีกอย่างคือการล่องเรือชมหิ่งห้อยห้ามฉีกพ่นยากันยุง เพราะสารเคมีจะไปทำอันตรายหิ่งห้อยอันบอบบางได้จ้า

(ขอโทษ ที่ไม่มีภาพหิ่งห้อยตัวจริงๆ มาให้ดูกันนะ เพราะคืนที่ไปล่องเรือฝนตกจ้า ฮาฮาฮา) (10). วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร (อำเภอโพธิ์ประทับช้าง)
ฝั่งตรงข้ามตลาดดอกเดื่อแค่เพียงข้ามถนนมาก็จะพบกับ “วัดโพธิ์ประทับช้าง” วัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งไปเยือนครั้งใดก็ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศขรึมขลังของความเก่าแก่ และเรื่องราวพระราชประวัติ “พระเจ้าเสือ” (หรือสมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี หรือขุนหลวงสรศักดิ์) ที่ทรงสร้างวัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2242-2244 เป็นอนุสรณ์ยังสถานที่ประสูติของพระองค์ ใต้ต้นมะเดื่อหน้าวัด และได้ฝังรกของพระองค์ไว้ที่นี่ด้วย พระองค์จึงมีพระนามที่ใช้เรียกเล่นๆ ว่า “เจ้าดอกเดื่อ”

ภายในพระอุโบสถของวัดโพธิ์ประทับช้าง เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อยิ้ม หรือหลวงพ่อโต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่มาก ส่วนด้านหน้าวัดมีต้นตะเคียนยักษ์ 7 คนโอบ อายุกว่า 260 ปี ซึ่งปัจจุบันได้ตายลงเหลือแต่ตอ และกิ่งก้านได้ถูกตัดไปหมดแล้ว
(11). วัดเขากบ หรือ วัดวรนาถบรรพต จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอเมืองฯ)มาเที่ยวนครสวรรค์-พิจิตรทั้งที  ได้เยือนยลดินแดนแห่งสี่แม่น้ำที่มีพระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาแต่อดีต จึงต้องหาโอกาสไปไหว้พระขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคลกันหน่อย ที่นี่คือ “วัดวรนาถบรรพต” หรือ “วัดเขากบ” ตัววัดแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนที่อยู่บนพื้นราบเชิงเขากบ และส่วนที่อยู่บนยอดเขากบ สูง 185.50 เมตร สามารถขับรถยนต์ขึ้นถึงได้ หรือจะเดินขึ้นบันไดไป 437 ขั้น เพื่อฝึกความเพียรก็ได้นะ บนยอดเขามีพระพุทธบาทจำลองให้สักการะสำหรับสายมูทั้งหลาย ต้องไม่พลาดไปสักการะพระราหูวัดเขากบ แม้จะเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน แต่ด้วยกระแสความนิยม ก็มีผู้ศรัทธามากราบไหว้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าวัดบริเวณลานจอดรถ
ภายในวัดเขากบมีจุดสำคัญที่ต้องไปชมและสักการะหลายแห่ง อย่าง “เจดีย์โบราณสมัยสุโขทัย” สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ สื่อถึงเรื่องราวการสร้างวัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.​ 1962 สมัยพระยาบาลเมือง เพื่ออุทิศให้กับพระยารามผู้น้อง ซึ่งมาทำสงครามที่หัวเมืองฝ่ายใต้ แล้วสิ้นพระชนม์ลงใกล้ๆ กับเจดีย์เก่า มีองค์พระนอน ยาวประมาณ 10 วาเศษ พระพักตร์อมยิ้มท่าทางใจดี ใกล้ๆ กับวิหารพระนอน มีรูปปั้น “ตากบ” และ “ย่าเขียด” สองผู้ใจบุญ ผู้บริจาคที่ดินเพื่อสร้างวัดนี้ด้านหน้าวัดเขากบ มีวิหารหลังหนึ่งซึ่งไม่ควรมองข้าม เพราะนี่คือ “วิหารหลวงพ่อทอง” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองนครสวรรค์ นอกจากท่านจะเป็นผู้นำการบูรณะวัดนี้ด้วยตัวเอง ใช้เวลายาวนานหลายสิบปีแล้ว เหรียญหลวงพ่อทองรุ่นต่างๆ ยังร่ำลือกันในพุทธานุภาพเข้มขลัง อย่างเหรียญหลวงพ่อทองหลังเงารุ่นแรก ก็เป็นที่นิยมของเซียนพระเครื่องทั้งหลาย ทว่าเหนืออื่นใดคือคุณความดีของท่านที่ยังคงอยู่ แม้จะละสังขารไปแล้ว(12). วัดพระพุทธบาทไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอไพศาลี)
สำหรับคนที่ชอบเรื่องประวัติศาสตร์และสถานที่โบราณแบบขลังๆ ผมว่าการได้ไปเยือน “วัดพระพุทธบาทไพศาลี”  จังหวัดนครสวรรค์ ถือเป็นโอกาสที่ดีจริงๆ เพราะถือว่าเป็นสถานที่ Unseen ที่ยังมีคนไปเที่ยวไม่มาก จึงคงบรรยากาศความขลังไว้อย่างเต็มเปี่ยม ทั้งตัวสถานที่ซึ่งต้องเดินผ่านบันไดนาคขึ้นเนินเขาไปนิดหน่อย ผสานกับความเงียบสงบรกชัฏของป่าละเมาะรอบๆ ยิ่งทำให้ทุกย่างก้าวที่นี่เหมือนย้อนอดีตได้เลยจริงๆวัดพระพุทธบาทไพศาลีถือเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ ในดีตยังไม่มีวัด แต่มีการสร้างรอยพระพุทธบาทไพศาลีขึ้นสมัยพระยาลิไท แห่งกรุงสุโขทัย จากนั้นอัญเชิญมาจากกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พร้อมกับผู้คนที่ถูกเกณฑ์มาสร้างเมืองเวสาลี โดยนำรอยพระพุทธบาทไปประดิษฐานไว้บนยอดเขา แล้วสร้างวิหารเล็กๆ ครอบไว้รอยพระพุทธบาทไพศาลี มีอายุย้อนไปได้ราวพุทธศตวรรษที่ 22-23 สร้างด้วยแผ่นศิลากว้าง 70.5 เซนติเมตรร ยาว 169 เซนติเมตร หนา 9 เซนติเมตร รูปรอยพระบาทกว้าง 52.5 เซนติมเตร ยาว 140 เซนติเมตร มีรอยจารึกอักษรขอมสมัยอยุธยา กล่าวถึงการทำความดี และสรรเสริญพระศรีอริยเมตรไตร ซึ่งรอยพระพุทธบาทนี้เคยถูกจารกรรมหายไป แต่กรมศิลปากรตามกลับคืนมาได้ แล้วนำมาประดิษฐานไว้ที่เดิม จากวิหารพระพุทธบาทไพศาลีโบราณ มีทางเดินต่อขึ้นภูเขาไปประมาณ 200-300 เมตร (มีทางรถยนต์ขึ้นได้ด้วย แต่หนทางค่อนข้างชัน มีโค้งหักศอก) จะพบกับพระมณฑปสีขาว ซึ่งท่านเจ้าอาวาสรูปเก่า พระครูนิยุตพัฒนาพรได้นิมิตรฝันว่ามีรอยพระพุทธบาทอีกองค์หนึ่งอยู่บนภูเขานี้ จึงออกสำรวจ แล้วพบจริงดังนิมิตร เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2535 จากนั้นจึงมีการสร้างพระมณฑปครอบไว้ เปิดให้สักการะมาตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2540

ลักษณะของพระพุทธบาทองค์นี้เป็นรอยจารึกอยู่บนก้อนหินใหญ่ รอยค่อนข้างเลือนลาง จัดว่ามีความแปลกมาก เพราะรอยพระบาทแต่ละข้างนิ้วพระบาทชี้ไปคนละทางกัน เหมือนการเดินไปและเดินกลับ(13). Patio Boutique House จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอชุมแสง)เที่ยวกันมายาวไกลทั้งนครสวรรค์-พิจิตร ได้พบเห็นสถานที่แปลกใหม่สวยๆ งามๆ มากมาย อย่าเพิ่งรีบกลับบ้าน ลองหาเวลาสักคืนพักผ่อนกายใจในรีสอร์ทสวยสไตล์ Vintage British Colonial ย้อนยุค บวกความน่ารักน่าพักที่ “Patio Boutique House” ให้อารมณ์ผ่อนคลาย อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน บริการด้วยมิตรไมตรี มีอาหาร เครื่องดื่มบริการด้วย

Patio Boutique House เลขที่ 4/1 ถนนบ้านท่าจันทร์ หมู่ 1 ตำบลพันลาน อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ 60250 โทร. 08-1919-6159  https://patioboutiquehouse.comสัมผัสแรกของ Patio Boutique House คือสถาปัตยกรรมสวยสไตล์ British บริเวณร้านอาหารด้านหน้า ที่เสิร์ฟความสุขพร้อมเครื่องดื่มและอาหารอร่อยมากมาย โดยเฉพาะอาหารปักษ์ใต้รสชาติเข้มข้นความน่ารักสไตล์ Vintage British Colonial ของ Patio Boutique House สร้างจากแรงบันดาลใจของ พี่ตั้ม เจ้าของและผู้บริหาร เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองดาร์จีลิ่ง (Darjeeling) ทางตอนเหนือของอินเดียอยู่หลายปี จึงอยากจำลองบรรยากาศสถาปัตยกรรมอังกฤษมาให้แขกผู้เข้าพักได้สัมผัสบรรยากาศร้านอาหาร สไตล์อบอุ่นเหมือนอยู่บ้านยุโรปของ Patio Boutique House แม้จะไม่ได้เข้าพักที่นี่ลูกค้าก็สามารถมาใช้บริการได้ โดยเฉพาะยามค่ำ นั่งละเลียดชิมอาหารพร้อมจิบไวน์ดีๆ ที่ทางร้านเลือกสรรไว้ต้อนรับอาหารไทยผสมผสานหลายภาค ทั้งกลาง อีสาน ใต้ มาที่เดียวได้ชิมหลายเมนู Patio Boutique House ด้วยความคลั่งไคล้ในรถมอเตอร์ไซค์เก่าย้อนยุค Vintage Motorbike ของพี่ตั้ม เจ้าของ Patio Boutique House เราจึงมีโอกาสชมคอลเลคชั่นรถสะสมเกือบร้อยคัน ที่ล้วนมีสภาพสมบูรณ์ ยังวิ่งได้จริงเกือบทุกคัน
เดินชมบรรยากาศสถานที่สวยๆ จัดแต่งมุมถ่ายภาพเก๋ๆ ไว้ให้เลือกตามใจชอบ Patio Boutique House มีมุมสนามเด็กเล่นอย่างดีไว้บริการ คิดเผื่อไว้เสร็จสรรพสำหรับครอบครัวที่มาเที่ยวพักผ่อนที่พักของ Patio Boutique House กำเนิดขึ้นจากการที่พี่ตั้ม เจ้าของและผู้บริหาร มาปลูกบ้านอยู่ที่อำเภอชุมแสง เพื่อเป็นโยมอุปัฏฐากพระลูกชายซึ่งมาบวชอยู่ที่วัดใกล้ๆ เผลอแป๊ปเดียวไม่กี่ปี สร้างเพิ่มเติมกลายเป็นรีสอร์ท มีห้องพักหลายแบบให้เลือก ทั้งเป็นหลังๆ เป็นรถบ้าน และบ้านต้นไม้สุดเก๋ห้องพักแบบเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ พร้อมอ่างอาบน้ำอย่างดี ห้องพักสำหรับครอบครัว หรือเพื่อนฝูง นอนได้ 4 คน เป็นเตียงสองชั้น น่าสนุกดีPatio Boutique House ตั้งชื่อบ้านพักแต่ละหลังในคอนเซปต์เก๋ๆ มีทั้งบ้านรวมเพื่อน, บ้านเจ้าคุณ, บ้านชมสวน, บ้านไม้หอม, บ้านชมจันทร์, บ้านเจ้าหญิง, บ้านกลางไม้, บ้านต้นไม้ใหญ่ และบ้านต้นไม้เล็ก Patio Boutique House มีสระน้ำให้ความเย็น พร้อมด้วยพรรณไม้กว่า 200 ชนิด ผลิดอกออกใบให้ความร่มรื่น
ห้องพักแบบรถบ้าน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศแปลกใหม่ ไม่จำเจ
บ้านกลางไม้และบ้านต้นไม้ใหญ่ มีสะพานแขวนเชื่อมถึงกัน เพิ่มความสนุกน่าตื่นเต้นในการเข้าพัก สะพานแขวนจากบ้านกลางไม้ไปยังบ้านต้นไม้ใหญ่ห้องพักของบ้านต้นไม้ใหญ่ อยู่สูงจากพื้นดิน เพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้นความพิเศษอีกอย่างของ Patio Boutique House คือถ้าใครมาทำบุญที่วัดและพักค้างคืนที่นี่ เขาจะลดราคาให้ถึง 50 เปอร์เซนต์ เรียกว่าช่วยสนับสนุนกัลยาณมิตรทางธรรมด้วยความจริงใจ อย่างในภาพด้านบนนี้ พี่ตั้ม เจ้าของและผู้บริหาร Patio Boutique House ได้สร้างองค์พระสูงถึง 18 เมตร ไว้ที่วัดด้านหลังรีสอร์ท เพื่อเป็นพุทธบูชา

(14). กลับบ้าน คาเฟ่ (Klub-Baan Cafe) จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอพยุหคีรี)
“กลับบ้าน คาเฟ่” เป็นร้านอาหารและร้านกาแฟเก๋ไก๋น่ารัก น่านั่งพักผ่อนสบายๆ ในบรรยากาศไม่เร่งร้อน ละเลียดจิบเครื่องดื่มที่ชอบกับคนที่ใช่ ชิมขนมเบาๆ หรือจะชวนกันมาทานอาหารมื้อหลักเขาก็มีเสิร์ฟ โดยเฉพาะสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า​ซอสปรุงเองสูตรพิเศษ ของน้องแพรว (คุณกาญจนาณัฐ) ซึ่งไปเคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี และเยอรมนี ด้วย ทว่าในที่สุดน้องแพรวก็ได้กลับมาสร้างร้านนี้ขึ้นที่บ้านเกิด อันเป็นที่มาของชื่อ กลับบ้าน คาเฟ่

กลับบ้าน คาเฟ่ ม.4 ตำบลเขากะลา อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ 60130 โทร. 09-4964-6394
จุดเด่นอย่างหนึ่งของ กลับบ้าน คาเฟ่ คือเขามีแปลงปลูกกัญชา Organic เองด้วย จึงนำใบกัญชาในปริมาณและสัดส่วนที่ปลอดภัย มาผสมในเครื่องดื่มต่างๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ หรือจะสั่งเฉพาะดอกกัญชาเขาก็ขาย แต่ถ้าใครแพ้กัญชา ก็มีทางเลือกให้ อย่างเครื่องดื่มก็สั่งเป็นกาแฟใส่นมอัลมอนด์แทนได้ กินคู่กับครอฟเฟิลราดน้ำผึ้งสุขภาพ
บรรยากาศส่วนห้องอาหารติดแอร์เย็นฉ่ำของ กลับบ้าน คาเฟ่ อาหารเรียกน้ำย่อยและอาหารหลักมีมากมาย ให้เลือกสั่งได้ อย่างลูกชิ้นปลากรายนครสวรรค์, แกงส้มไหลบัว, ส้มตำไหลบัว, หมูคลุกฝุ่น, ปีกไก่ทอด, ต้มยำปลา รวมถึงของกินเล่นอย่าง เมี่ยงใบบัว ซึ่งนำวัตถุดิบมาจากบึงบอระเพ็ด แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันมีชื่อเสียงของนครสวรรค์นั่นเองของหวานแบบไทยๆ บรรจงทำเองและเสิร์ฟด้วยความตั้งใจที่ กลับบ้าน คาเฟ่ความพิเศษอีกอย่างของ กลับบ้าน คาเฟ่ คือเขามีชาหลากชนิดให้ลิ้มลอง ทั้งชาใบบัว, ชาข้าว, ชาเขียวญี่ปุ่น ฯลฯ  นอกจากนี้ยังสามารถผสมใบกัญชา Organic ลงไปได้ด้วยนะกิจกรรมสนุกๆ ของ กลับบ้าน คาเฟ่ คือ Tea Blended by Yourself ให้เรานำชาหลายชนิดมาผสมและชงดื่มเองตามใจชอบ วัตถุดิบที่เขาเตรียมไว้ให้ก็มีหลากหลาย ตั้งแต่ใบกัญชาคั่ว, คาโมมายด์,ใบเตย, มะตูม, ชาข้าวหอม, ข้าวคั่ว จากข้าวพันธุ์ กข.15 ปลูกแบบอินทรีย์ในนครสวรรค์ รวมถึงมีส่วนผสม 3 อย่างของดอกบัว คือ เกสร กลีบบัว และเมล็ดบัว ได้ดื่มชาที่ชอบ แถมดีต่อสุขภาพ ดีต่อใจด้วยชากลีบบัว เกสรบัว และเมล็ดบัว บำรุงหัวใจและสร้างความสมดุลให้ธาตุในร่างกาย Healthy มากๆ จ้า กลับบ้าน คาเฟ่ มีพื้นที่ปลูกกัญชาและกัญชงแบบ Organic ของตัวเองในชื่อ “กัญชาบ้านสวนสวรรค์” มีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้ง Product ที่ใช้ใบ ดอก หรือแปรรูปเป็นสบู่ น้ำมันแก้ปวดเมื่อย เทียนหอม และอื่นๆ อีกมากมาย

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครสวรรค์-พิจิตร 

facebook.com/TATNakhonsawan.Phichit/

โทร. 0-5622-1811-2 

DOD Cafe & Bistro จิบกาแฟในสวนสวย ที่สามพราน

DOD Cafe & Bistro อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โทร. 06-5242-5611 , www.facebook.com/DODcafebistro/

เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-18.00 น.