เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA หมู่บ้าน Way Am (ตอน 5)

วันที่ 5 วันสุดท้ายของการเดินทางท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีชุมชนของเกาหลีกับ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) ความเข้มข้นก็มิได้ลดน้อยลงเลยสักนิดเดียว แต่มาถึงไฮไลท์ของหมู่บ้านที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในการจัดทำท่องเที่ยวโดยชุมชน คือ ‘หมู่บ้านวัฒนธรรมเวอัม’ (Way Am Folk Village) เมืองอาซาน (Asan) จังหวัดชุงชองนัม (Chungcheongnam) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลเพียงระยะรถวิ่งแค่ 1.30 ชั่วโมง เท่านั้น
หมู่บ้านเวอัม มีขนาดไม่ใหญ่โตเลย แต่ตั้งอยู่ในโลเกชั่นสวยงามสุดๆ ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่กลางทุ่งนา ในหุบเขาที่มีเทือกทิวเขาสองแนวโอบล้อมเป็นฉากหลังอย่างกับภาพวาด คือ ภูเขากวางด็อก (Gwangdeok Mountain) และภูเขาซุลวา (Sulhwa Mountain) แถมยังเที่ยวได้ 4 ฤดู ในความงามต่างกัน โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนหมู่บ้านเวอัมจะมีชีวิตชีวาสุดๆ มีสีสันคัลเลอร์ฟูลของดอกไม้นานาชนิด เคียงคู่ผืนนาสีเขียวขจี บึงบัวบาน และกิจกรรมท่องเที่ยวอันคึกคัก ปัจจุบันหมู่บ้านเวอัมมีชื่อเสียงมากในแง่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ในลักษณะ ‘พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต’ หรือ Living Museum เพราะเขาสามารถปลุกชีวิตหมู่บ้านชนบทอายุ 500 ปี ที่มีอาชีพหลักทำเกษตรกรรมทำไร่ทำนาปลูกผัก ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีชุมชนได้อย่างสนุกสนาน เพราะมีการสนับสนุนงบส่วนหนึ่งจากรัฐบาลกลาง และชาวบ้านก็สามัคคี สร้างกิจกรรมสนุกๆ ให้นักท่องเที่ยว ผู้มาเยือน อีกทั้งมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ ความสะอาด เที่ยวได้สบายใจจริงเมื่อข้ามลำธารสายเล็กๆ เข้าสู่หมู่บ้านแล้ว ก็พบบรรยากาศราวกับว่าเราได้พาตัวเองย้อนเวลาไปในอดีตเมื่อ 500 ปีก่อน เพราะในหมู่บ้านยังคงมีบ้านไม้โบราณที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา บ้างมุงหลังคาด้วยฟางข้าว และมีแนวกำแพงหินก่อเรียงกันไปเหมือนกับที่เราเห็นในละครเกาหลีจริงๆ เลยกังหันน้ำโบราณตรงทางเข้าหมู่บ้าน เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปนั่งฟังเสียงน้ำไหลซู่ซ่าให้เย็นใจการเดินชมหมู่บ้านโบราณอายุ 500 ปีแห่งนี้ ถ้าให้ดีก็ต้องเช่าชุดฮันบก (ชุดประจำชาติเกาหลี) ใส่ให้สวยๆ เดินเฉิดฉายถ่ายรูปไปเที่ยวไป แหม Happy ดีจริงเนอะหมู่บ้านเวอัมเปิดให้ท่องเที่ยวทุกวัน และได้รับความนิมอย่างสูง เพราะมีเสน่ห์ดึงดูดทั้งสถานที่ ธรรมชาติ กิจกรรม และวิถีชีวิตแบบย้อนยุคจากปากทางเข้าหมู่บ้าน เรานั่งรถแทร็กเตอร์พ่วงเข้าไปเพื่อประหยัดเวลา (พวกบ้านไกลเวลาน้อยก็อย่างนี้ล่ะครับ ฮาฮาฮา)แม้จะเป็นหมู่บ้านโบราณที่มีอายุถึง 500 ปี ทว่าเวอัมก็ได้รับการดูแลอย่างดี มีความสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบ โดดเด่นด้วยเรือนไม้โบราณมุงหลังคาฟางข้าว และแนวกำแพงก่อด้วยหินยาวเหยียด อีกทั้งร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เคียงคู่นาข้าว เป็นเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ หรือการไปพักในโรงแรมหรูห้าดาว เพราะนี่คือจิตวิญญาณที่แท้จริงของแดนกิมจิล่ะครับอาหารเที่ยง เป็นอาหารมื้อแรกในหมู่บ้านเวอัม เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ตักเติมได้ไม่อั้น โดยต้องมากินรวมกันที่โรงครัวสำหรับนักท่องเที่ยวครับอาหารแบบง่ายๆ แต่นั่งกินกับคนรู้ใจ มันก็เลยอร่อยไงล่ะ ‘พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต’ หรือ Living Museum แห่งหมู่บ้านเวอัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฮมสเตย์ของหมู่บ้านนที่โดดเด่นจริงๆ เพราะเราจะได้เข้าไปนอนค้างคืนในบ้านไม้โบราณอายุเป็นร้อยๆ ปี ที่ยังมีเจ้าบ้านอาศัยอยู่ และเขาแบ่งห้องให้เรานอน แบ่งครัวให้เราทำกับข้าว ซึ่งแม้จะพูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะชาวบ้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทว่าน่าแปลกที่ภาษากายของเราช่วยให้สื่อสารกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหมูบ้านเวอัม คือแนวกำแพงหินที่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกสำคัญของชาติเกาหลีไปแล้ว ว้าว!หลังจากอาหารเที่ยง กิจกรรมสนุกๆ ก็เริ่มต้นขึ้น อย่างแรกคือ ‘การโม่ถั่วเหลือง’ เพื่อทำเต้าหู้แบบโบราณ กิจกรรมนี้ทำให้ใครหลายคนย้อนรำลึกถึงวัยเด็ก ที่ยังช่วยคุณแม่เข้าครัวโม่แป้งโม่ถั่วเหลืองอยู่ ซึ่งปัจจุบันคงหาอะไรแบบนี้ยากแล้ว ส่วนน้องๆ รุ่นใหม่ที่ร่วมทริปด้วย ก็ได้ฟังคำบอกเล่าจากปากของท่านผู้อาวุโส เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และย้อนเวลาหาอดีตได้อย่างสนุกสนาน
น้ำถั่วเหลืองที่บดแล้วจะไหลมารวมกันในหม้อต้ม เมื่อคนไปคนมาสักพัก แล้วเติมน้ำทะเลลงไปในขั้นตอนสุดท้าย ก็จะได้น้ำเต้าหู้และฟองเต้าหู้แยกจากกันชัดเจนนำน้ำถั่วเหลือง (น้ำเต้าหู้) ที่ต้มดีแล้ว กรองในถุงขนาดใหญ่ เพื่อให้ได้ความใสสะอาดจากนั้นนำกากถั่วเหลืองมาบีบบดคั้นเอาน้ำออกมาให้ได้มากที่สุด โดยชาวบ้านจะทิ้งน้ำเต้าหู้ (น้ำถั่วเหลือง) ที่เราช่วยกันคั้นนี้ ทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำมาทำเต้าหู้แสนอร่อยให้เรารับประทานกันเต้าหู้หมู่บ้านเวอัมจากฝีมือเราเอง ขอบอกว่าเนื้อนุ่ม รสชาตินวลเป็นธรรมชาติ แทบไม่ต้องเคี้ยวเพราะละลายในปากได้เลย กินคู่กับผักดองกิมจิต่างๆ บำรุงสุขภาพเพราะอุดมด้วยคุณค่าทางอาหารมากมายครับหลังกิจกรรมทำเต้าหู้ ก็ได้เวลาออกเดินเที่ยวชมบรรยากาศของหมู่บ้านโบราณ ที่ไม่มีการสร้างตึกสูงหรืออาคารสมัยใหม่แทรกแซมเข้าไปเลย เรียกว่าเขายังอนุรักษ์สถาปัตยกรรมจากอดีตไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ตัวเรือนไม้โบราณที่ตั้งหลบอยู่ในดงต้นสนและเมเปิลอย่างนิ่งสงบ ช่วยให้ใจเราสงบไปด้วย อยากนั่งอยู่เฉยๆ สักพัก ชมแนวกำแพงหินเคียงคู่ดอกไม้ ป่าสน ลำธาร เป็นความงามเปี่ยมคุณค่า ถึงขนาดรัฐบาลเกาหลีประกาศให้ 3 สิ่งในหมู่บ้านวัฒนธรรมเวอัมกลายเป็น ‘มรดกสำคัญของชาติ’ (National Important Folk Material) คือ บ้านโบราณ, แนวกำแพงหินโบราณยาว 3 กิโลเมตร และทางน้ำแบบโบราณ ว้าว! แนวกำแพงหินที่แลดูธรรมดา บัดนี้กลายเป็นโลเกชั่นถ่ายแบบของสาวน้อยแสนน่ารักชาว TEATA ไปแล้ว
แนวกำแพงหินโบราณกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้งในฤดูร้อน เมื่อดอกไม้เล็กๆ เบ่งบานขึ้นมาทักทายกันอย่างน่ารักน่าชังใบเมเปิลแดงหลงฤดู ที่หมู่บ้านเวอัม นี่คือศิลปะในธรรมชาติที่มีคุณค่ายิ่งต่อจิตใจมนุษย์ต้นไม้โบราณเก่าแก่หลายชั่วอายุคน ยืนต้นตระหง่านแผ่กิ่งก้านสาขา เปลือกของมันแตกออกเป็นร่องเป็นเกล็ดเหมือนลวดลายที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นประดับประดาหมู่บ้านเวอัมเดินเที่ยวหมู่บ้านด้วยความเพลิดเพลิน เพราะแดดไม่ร้อนจัด แถมยังมีดอกไม้หลากสีเบ่งบานดึงดูดเราไปตลอดทางถนนเดินผ่านกลางหมู่บ้าน นำเราย้อนอดีตในทุกย่างก้าว ท่ามกลางโอบกอดของธรรมชาติและแนวกำแพงหินนิ่งสงบ แลดูมั่นคง
ชีวิตเรียบง่ายในเวอัม สะท้อนออกมาในทุกย่างก้าวของชีวิตผู้อยู่อาศัยพักคลายร้อนในห้องแอร์เย็นฉ่ำ กับการฟังบรรยายสรุปความเป็นมาของหมู่บ้าน และรูปแบบการจัดท่องเที่ยวโดยชุมชน สมาชิกชาว TEATA ได้ความรู้กันไปเต็มๆ ครับงานนี้ถัดมาเป็นกิจกรรม DIY (Do It Yourself) ที่เขาให้เราลองประดิษฐ์ตกแต่งพัดแบบเกาหลีด้วยตัวเอง เพื่อนำกลับไปเป็นของที่ระลึกน่ารักๆ สไตล์เกาหลีครับ โดยเขาจะแจกพัดกระดาษสีขาวโล่งๆ ให้คนละอัน พร้อมกาว และกระดาษสีที่ตัดเป็นรูปดอกไม้ต่างๆ จากนั้นก็ใช้จินตนาการของใครของมัน ปะติดให้เกิดลวดลายตามชอบเลยจ้า
เสร็จแล้วจ้า พัดเกาหลีสวยแบบ Minimal ตาม character ของน้องสาวแสนน่ารัก เสร็จแล้วจ้า ผลงานสวยๆ ของแต่ละคน มีชิ้นเดียวในโลกเลยนะเนี่ย กิจกรรมถัดมา เป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนรอคอยมาทั้งวัน นั่นคือการใส่ชุดฮันบก ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของเกาหลี เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เลือกกันได้ตามใจชอบเลยจ้า ผู้ชายหน้าหวานกับดอกซากุระบนหมวก เขาคือนักปราชญ์ราชบัณฑิตหรือขุนนางจากยุคไหนไม่มีใครรู้ รู้แต่แน่ๆ ว่า มีแต่คนเหลียวมองชายผู้นี้ ตลอดเวลาที่เขาสวมหมวกใบนั้น!!!
พี่น้องสองสาว ในชุดฮันบกสีสดใส บันทึกภาพนี้ไว้ในความประทับใจตลอดไปเลยยิ้มกว้างขนาดนี้ เขินหรือว่าดีใจที่ได้ใส่ชุดฮันบกจ๊ะพี่หุย? ฮาฮาฮา
เย็นมากแล้ว เวลาผ่านไปไม่รอท่า ได้เวลาเช็คอินเข้าพักในบ้านโบราณ ตอนนี้เจ้าบ้านแต่ละหลังมารอรับพวกเราอยู่แล้ว บางบ้านมีบริการพาเรานั่งรถเล่นด้วย น่าอิจฉาจังคู่นี้ค่ำวันนั้น ทางเกาหลีได้จัดงานเลี้ยงส่ง Farewell Party ให้กับคณะ 34 ชีวิตของ TEATA ที่มาเยี่ยมชมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในทริปนี้ บรรยากาศงานเลี้ยงเต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา และเครื่องดื่มพื้นบ้านแบบเกาหลีหลายชนิด จนใครหลายคนมึนจัด หลงทาง เดินกลับบ้านพักไม่ถูกันเลยทีเดียว! ฮาฮาฮา
ในงานเลี้ยง มีการเชิญศิลปินแห่งชาติด้านการขับร้อง มาร้องเพลงอารีรัง (คนไทยรู้จักในชื่อเพลง อารีดัง) ให้เราฟังกันสดๆ ขอบอกว่าไพเราะจับใจมากจริงๆ ฟังจบปุ๊ปรู้สึกเลยว่ามาถึงเกาหลีแล้วการเดินทางมาเกาหลีเป็นเวลา 5 วัน ในครั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างสองประเทศ ประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์อย่างดีเยี่ยม เช้าวัดสุดท้ายก่อนบินกลับไทย จึงเป็นวาระสำคัญยิ่งที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) จะได้เซ็นต์บันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ สภาส่งเสริมการท่องเที่ยวชนบทเกาหลี (Korean Rural Experience Village Council : KREVC) ซึ่งเป็นโอกาสที่พิเศษมาก เพราะไม่เคยเกิดบรรยากาศการทำงานร่วมกันในลักษณะนี้มาก่อน จึงถือเป็นมิติใหม่และความหวังใหม่ในการดำเนินงานท่องเที่ยวโดยชุมชนให้ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ระหว่างสองประเทศ โดยมี TEATA เป็นหัวหอกสำคัญเช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง คณะ TEATA ทั้งหมดจึงเดินทางไปยังสถานที่จัดประชุมใกล้หมู่บ้านเวอัม พบปะตัวแทนด้านการท่องเที่ยวคนสำคัญๆ ของเกาหลี โดยเฉพาะ Mr. Lee Kyujeong ตำแหน่ง President of Korean Rural Experience Village Council และ Mr. Choi Bong-soon ตำแหน่ง Director of Rural Industry Division สังกัดกระทรวงเกษตร, อาหาร และกิจการชนบทเกาหลีบรรยากาศการประชุมอันอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจ ในการทำงานสู่ทิศทางเดียวกัน ก่อนที่จะมีการเซ็นต์ MOU
คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA เป็นตัวแทนเซ็นต์ ​MOU ร่วมกับ Mr. Lee Kyujeong (President of Korean Rural Experience Village Council) ซึ่งมีเครือข่ายท่องเที่ยวหมู่บ้านกว่า 1,000 แห่งทั่วเกาหลี
ผลจากการเซ็นต์ MOU ครั้งนี้ มีข้อผูกพันระหว่างกันหลายประการ ไม่ว่จะเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการทำท่องเที่ยวชุมชนให้ยั่งยืน, การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดูงาน, การฝึกอบรมบุคลากรร่วมกัน รวมถึงการจัดทริปเหย้าเยือนนักท่องเที่ยวระหว่างกันด้วย เป็นต้น โดยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่จะถึงนี้ คณะทำงานจากเกาหลีก็จะเดินทางมาเยี่ยมเยือนประเทศไทยด้วย เตรียมตัวต้อนรับกันให้ดีนะครับหลังจากเซ็นต์ MOU เสร็จเรียบร้อย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA ก็ได้นำเสนอความเป็นมา เป้าหมาย แนวคิด การทำงาน และผลงานของ TEATA ให้กับทางเกาหลีฟัง โดยได้รับความสนใจเป็นอย่างดีคุณนีรชา วงศ์มาศา ายกสมาคม TEATA ประเทศไทย มอบของที่ระลึกให้กับ Mr. Choi Bong-soon และทั้งหมดนี้ คือกิจกรรมสนุกๆ ของ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาวงการท่องเที่ยวไทยให้ยั่งยืน บัดนี้เราได้ก้าวออกสู่เวทีโลกอย่างสง่าผ่าเผย และจะนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ที่ได้ มาต่อยอดสร้างสรรค์พัฒนาวงการท่องเที่ยวไทยอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมต่อไป

แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้านะครับ บ้ายบายสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA ไร่ชา Bohyang Da Won (ตอน 4)

วันที่ 4 ของการเดินทางท่องเที่ยวอันแสนสนุกและไม่เหมือนใครในเกาหลีกับ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) เรานั่งรถยนต์มุ่งหน้ากลับขึ้นฝั่งจากเกาะนัมเฮ (Namhe Island) สู่หมุดหมายต่อไป ซึ่งขอบอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะเป็นไร่ชาที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเกาหลี คือ ‘หมู่บ้านไร่ชาโพยาง ดาวอน’ (Boseong Da Won Tea Farm Village) ดำเนินกิจการต่อกันมาถึง 5 ชั่วอายุคนแล้ว โดยเริ่มปลูกผลไม้และชามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 จนสามารถพาธุรกิจของตัวเองยกระดับโด่งดังไปทั่วโลกด้วยชื่อ Bohyang Tea แม้จะเป็นไร่ชาแบบดั้งเดิมที่ยังคงสืบทอดวิธีปลูกและผลิตชาด้วยกรรมวิธีโบราณ ทว่าการจัดสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับดูเก๋ไก๋ น่ารัก โมเดิร์น ราวกับว่าเราอยู่ในยุโรปกลายๆ ยิ่งยามนี้เป็นฤดูร้อนด้วย ดอกไม้นานาชนิดจึงเบ่งบานละลานตาเชียวมุมเล็กๆ อันแสนน่ารัก เติมสีสันการท่องเที่ยวในไร่ชาโพยาง ดาวอน ให้สมบูรณ์แบบผึ้งตัวน้อยดื่มกินน้ำหวาน พร้อมกับช่วยผสมเกสรดอกไม้ ที่ไร่ชาโพยาง ดาวอนตามธรรมเนียม เมื่อแขกมาถึงบ้าน เจ้าบ้านก็ต้องกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ นอกจากการเรียนรู้วิถีชีวิตชาวไร่ชาแล้ว เรายังได้ฝึกฝนวิธีการทำความเคารพแบบคนเกาหลี ที่ถูกต้องด้วย สะท้อนถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน น่ารักดีครับ
อุ่นเครื่องกันได้ที่แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาออกไปเก็บชากันล่ะ แต่ละคนจะได้รับแจกกระจาดเล็กๆ คนละอัน เอาไว้ไปใส่ยอดชาเขียวที่เก็บได้
ป้ายแสดงความมั่นใจให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวว่า โร่ชาแห่งนี้ปลูกด้วยวิธี Organic ครับ คือไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนคุณ Choi Yeong-Gi เจ้าของไร่ชาโพยาง ดาวอน มาสาธิตวิธีการเก็บยอดชาเขียวให้เราดูด้วยตนเองคุณชอยสอนว่าให้ดูยอดชาที่มี 3 ใบ ตรงส่วนบนสุดของลำต้น โดยสองใบจะแผ่ออก แต่ใบที่สามจะมีลักษณะเป็นปลายแหลมคล้ายหอก เด็ดมาเลยทั้ง 3 ใบ เอาพอเต็มกระจาด เข้าใจแล้วก็เริ่มต้นเก็บยอดชากันทันที ไม่จำกัดเวลานะครับ แต่เอาแค่พอเต็มกระจาด เพื่อนำไปคั่วต่อ การเดินในไร่ชาที่เปิดโล่ง อากาศบริสุทธิ์ มองเห็นทัศนียภาพเนินเขากว้างไกล และมีต้นสนซีดาร์กระจายอยู่ห่างๆ กัน ถือเป็นกำไรของชีวิต เพราะเป็นการพาตัวและหัวใจออกมาสัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติบ้าง หลังจากถูกเมืองใหญ่ดูดกลืนพลังชีวิตไปซะเยอะแล้ว ฮาฮาฮาได้แล้วยอดขาเขียวสามใบ ตามที่คุณชอยสอนพี่หุยครับ เขาให้มาเก็บยอดชานะครับ ไม่ได้ให้มาเซลฟี่ ฮาฮาฮา (อ๋อ ดูในกระจาดเก็บได้เยอะแล้ว เลยเปลี่ยนจากยอดชา มาเก็บภาพเป็นที่ระลึกแทน อิอิ)โมงยามแห่งความสุข ของสมาชิกชาว TEATA ในไร่ชาโพยาง ดาวอนค่อยๆ เก็บยอดชาไป ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวก็เต็มกระจาดเองนั่นล่ะ มืออาชีพมากๆ ได้มาเพียบ เตรียมเอาไปทำกิจกรรมที่สองต่อเลย คือการคั่วใบชาเขียวครับผลงานการเก็บยอดชาเขียวคุณภาพ โดยน้องๆ ทีมงานจากนครพนม น่ารักอ่ะไม่รอช้า ต่อเนื่องเข้าสู่กิจกรรมที่สองกันเลย คือ ‘การคั่วยอดใบชาเขียว’ แต่ก่อนอื่นต้องฟังสรุปวิธีการคั่วใบชาที่ถูกวิธีจาก Tea Master กันก่อน
ผ้ากันเปื้อนและถุงมือกันร้อน คืออุปกรณ์สำคัญสำหรับทุกคนในกิจกรรมนี้ เพราะเราต้องใช้มือทั้งสองคั่วใบชาเขียวในกระทะขนาดใหญ่ ด้วยไฟร้อนถึง 150 องศาเซลเซียส น่ะสิเตรียมพร้อม เอายอดใบชาเขียวลงกระทะคั่วครับ‘การคั่วใบชา’ ผลที่ได้จะแตกต่างกัน ทั้งชาเขียว (Green Tea) และชาดำ (Black Tea) ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีและอุณหภูมิในการคั่ว วันนี้ผู้เชี่ยวชาญพาเราคั่วชาเขียว โดยนำยอดชาสดที่เพิ่งเก็บได้มาเทรวมกันใส่กระทะเหล็กใบใหญ่ที่อุณหภูมิราว 150 องศาเซลเซียส จากนั้นก็ใส่ถุงมือกันร้อน ช่วยกันใช้มือคั่ว คลุกเคล้าใบชาไปมาอย่างเป็นจังหวะ 3 เสต็ป ตั้งแต่เบาๆ นุ่มนวล ไปจนถึงเร็วและหนักหน่วงขึ้น จากนั้นก็นำใบชามาแผ่บนโต๊ะ แล้วนวดคลุกเคล้าต่อไปจนมันเย็น โห เพิ่งรู้ว่ากว่าจะได้ชาเขียวหอมกรุ่นดีๆ สักจอก ต้องใช้แรงเยอะเหมือนกันนะเนี่ยะ ต่อไปจะไม่ต่อราคาแล้ว เมื่อคั่วใบชาเขียวในกระทะจนได้ที่ ก็นำมาแผ่บนโต๊ะให้เย็นตัว แล้วแบ่งเป็นกองๆ นวดคลึงคลุกเคล้าไปมาอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความหอม และสารเคมีต่างๆ ในใบชาถูกกระตุ้นให้พร้อมออกมาเต็มที่ยามชงใส่น้ำร้อน เสร็จขั้นตอนคั่วและนวดคลึงใบชา ก็ได้เวลา Tea Master มาตรวจการบ้าน ว่าใน 5 กลุ่มของพวกเรา กลุ่มไหนคั่วใบชาเขียวได้เก่งที่สุด ดีที่สุด หอมที่สุด???
กลุ่ม 5 คว้ารางวัลชนะเลิศ สำหรับกิจกรรมคั่วใบชาเขียวในวันนี้ครับ รับรางวัลกันไป กับผลิตภัณฑ์ชาหลากชนิดของไร่ชาออร์แกนิก โพยาง ดาวอนนี่คือหน้าตาของชาแบบโบราณ ทั้งชาแผ่น ชาเหรียญ และชาก้อน เป็นการนำใบชามาอัดเป็นรูปทรงตากแห้งไว้ เพื่อใช้ในการเก็บไว้กินตลอดปี หรือเพื่อในการขนส่งไปค้าขายระยะทางไกลๆ หรือเพื่อติดตัวไปยามเดินทางได้สะดวก ซึ่งชาก้อนลักษณะนี้จริงๆ เราก็จะเห็นในประเทศจีนและญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน เรียกว่า ชาก้อน (Brick Tea)
คืนนี้เราจะเข้าพักค้างคืนที่ไร่ชาโพยาง ดาวอน ทว่าเขามีให้แต่ที่พัก (แบบง่ายๆ และมีจำนวนจำกัด) และไม่ได้มีอาหารรวมอยู่ในแพ็กเกจด้วย เราจึงต้องขับรถออกมาประมาณ 15 นาที สู่ตัวเมืองโพยาง (Bohyang) เพื่อกินอาหารเย็น ร้านนี้ไม่ธรรมดา เพราะเด่นด้วยเนื้อหมูเบอร์เกอร์ เสิร์ฟมาพร้อมอาหารเกาหลีขนานแท้หลากหลายรสชาติ เป็นอีกหนึ่งมื้อที่เรามีความสุขมากๆ
เรากลับจากร้านอาหารสู่ไร่ชาโพยาง ดาวอน เกือบสองทุ่ม เพื่อมารวมตัวกันและเริ่มกิจกรรมสุดท้ายของวันนี้ คือ พิธีชงชา’ (Tea Ceremony) ซึ่งต้องมี ‘ปรมาจารย์การชงชา’ หรือ Tea Master มาเป็นผู้นำ วันนี้คุณ Choi Yeong-Gi เจ้าของไร่ชา โพยอง ดาวอน ในเจนเนอร์เรชั่นที่ 4 มาสาธิตการชงชาให้เราชมด้วยตนเองเลย

การชงชาแบบเกาหลีนั้นจะดูเกร็งๆ น้อยกว่าของญี่ปุ่น คือของเกาหลีเขาให้เราจับคู่นั่งตรงข้ามกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชง อีกฝ่ายเป็นผู้ดื่ม แล้วผลัดกัน โดยวิธีการรับส่งแก้วและยกขึ้นดื่มจะต้องกระทำอย่างช้าๆ และมีเสต็ปเฉพาะ  การดื่มชาจริงๆ แล้วเป็นทั้งการดื่มดม และทำสมาธิไปในตัว ขณะดื่มก็ต้องคิดแต่สิ่งดีๆ แบบ Positive Thinking ให้เราสัมผัสลึกล้ำทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ของน้ำชาที่ค่อยๆ ไหลลงคอแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย พร้อมกับมีการเสิร์ฟขนมหวานชิ้นเล็กๆ ให้กินคู่กันด้วย คุณ Choi Yeong-Gi เล่าให้ฟังว่าไร่ชาของเขามีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา มิใช่แค่ต้องการขายให้คนเกาหลีได้ดื่มเองในประเทศเท่านั้น แต่บุกตลาดไปทั่วโลก เพื่อให้คนทั่วโลกได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมเกาหลีผ่านชาคุณภาพนี่ล่ะ ยิ่งกว่านั้นเขายังมีการคิดค้น ‘ชาทองคำ’ (Golden Tea) สำเร็จเป็นเจ้าแรกด้วย คือเขาได้วิจัยจนสามารถใช้กระแสไฟฟ้าละลายทองคำก้อนให้กลายเป็น ‘น้ำทองคำ’ จากนั้นก็นำไปรดต้นชา ให้ต้นชาดูดน้ำทองคำเข้าไปเก็บไว้ แล้วก็นำใบชานั้นมาผลิตเป็นชาทองคำ ขายราคากล่องละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ! ตอนนี้มีออร์เดอร์จากทั่วโลก โดยเฉพาะจากผู้นำหลายประเทศ รวมถึงดาราเซเลปก็สั่งชาทองคำไปดื่ม เพราะผลวิจัยพบว่าเมื่อร่างกายเรามีทองคำสะสมอยู่ถึงปริมาณหนึ่ง ร่างกายจะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้โดยเองอัตโนมัติ! โห ฟังแล้วตาโต (แต่ไม่มีตังค์ซื้อ!) คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA มอบของที่ระลึกน่ารักๆ ให้กับคุณชอยและภรรยา วันเวลาในเกาหลีทำไมช่างผ่านไปรวดเร็วอย่างนี้นะ? เหลืออีกแค่วันเดียวก็ต้องกลับบ้านแล้ว และเราก็มุ่งหน้าเข้าใกล้กรุงโซลเข้าไปทุกทีๆ โปรดติดตามตอนสุดท้าย ว่าสมาชิก TEATA ของเราจะต้องไปผจญภัย หรือพบเจออะไรสนุกๆ อีกบ้าง บ้ายบายสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA หมู่บ้านดารังงี (ตอน 3)

วันที่สองของการเดินทางท่องเที่ยวในเกาหลีกับ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) เรายังตระเวนกันอยู่บนเกาะนัมเฮ (Namhe Island) เกาะใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของเกาหลี โดยในช่วงเช้าหลังจากเราเดินป่าขึ้นเขาไปไหว้พระและชมวิวบนภูเขากวมซาน (Mt. Geumsan) แล้ว ช่วงบ่ายก็ได้เวลามาทำความรู้จักกับหมู่บ้านแสนน่ารักอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาชมวิวบวกกับวิถีชีวิตอันน่าสนใจ นั่นคือ ‘หมู่บ้านดารังงี’ (Darangyi Village) จังหวัดคยองซาน (Geongsang)คอนเซ็ปต์ของการท่องเที่ยวที่นี่คือ ‘Ocean Village’ คล้ายๆ กับหมู่บ้านดูโมที่เราไปเยือนมาเมื่อวานนั่นแหละ ด้วยว่าหมู่บ้านดารังงีตั้งอยู่ริมทะเล มีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับเกษตรกรรมและประมงพื้นบ้าน อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ผู้คนที่เริ่มอพยพเข้ามาตั้งรกราก ปรับพื้นที่ลาดเอียงของเนินเขา ให้เป็นนาขั้นบันไดอันสวยงามและมีชื่อเสียง ถ่ายภาพได้แจ่ม ก้อนหินจากการปรับพื้นที่นาก็เอามาสร้างบ้าน กลายเป็นหมู่บ้านน่ารักที่สร้างไล่เรียงลดหลั่นกันไปตามเนินเขาเตี้ยๆ ทัศนียภาพสวยงามจับใจจริง แต่การจะเข้าถึงหมู่บ้านไม่ใช่เรื่องหมูซะแล้ว เพราะรถบัสของเราวิ่งลงไปตามถนนแคบๆ ไม่ได้ จึงต้องออกแรงลากกระเป๋าเดินลงไปเกือบ 1 กิโลเมตร สู่ใจกลางหมู่บ้านที่อยู่ริมทะเลตรงโน้นนนนนนนน!โชคดี คุณคิม (Mr.Kim) ผู้นำท่องเที่ยวหมู่บ้านดารังงี มารอต้อนรับเราอยู่แล้ว จึงพาเราเข้าไปนั่งพักในศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวประจำหมู่บ้าน ติดแอร์เย็นฉ่ำ พร้อมมีชากาแฟอร่อยๆ ไว้ต้อนรับ
หมู่บ้านดารังงีได้รับงบสนับสนุนด้านท่องเที่ยวจากรัฐบาลกลางเกาหลี จึงนำมาปรับปรุงภูมิสถาปัตย์ให้งดงาม สะอาดสะอ้าน และมีเรื่องราวแฝงอยู่ในนั้น โดยแต่ละบ้านจะมีป้าย หรือมีรูปวาดไว้ตามหลังคา กำแพง ผนังบ้าน สื่อถึงจุดเด่นของบ้านแต่ละหลัง เช่น บางบ้านปลูกกระเทียม ก็มีรูปกระเทียม บางบ้านปลูกฟักทอง ก็มีรูปดอกและผลฟักทอง ส่วนบางบ้านเลี้ยงวัวไว้ไถนา ก็จะมีรูปวัว เป็นต้นด้วยว่าภูมิประเทศแทบทั้งหมดของหมู่บ้านดารังงีเป็นเนินเขาลาดเอียงลงสู่ทะเลสีคราม บ้านเรือนจึงสร้างลดหลั่นลงไปตามเนินเขาลาดชันอย่างสวยงามนอกจากภาพวาดตามฝาฟนัง หรือ Wall Painting ที่มีกระจายอยู่ทั่วหมู่บ้านแล้ว ในช่วงฤดูร้อนอย่างนี้ก็จะมีดอกไม้ประดับเบ่งบานแทบทุกบ้านเลย สดชื่นดีจัง ภาพชีวิตประจำวันอันแสนน่ารักของชาวดารังงี นอกจากอาชีพหลักคือปลูกข้าวและประมงแล้ว ยังนิยมปลูกกระเทียมด้วย เพราะกระเทียมบนเกาะนัมเฮนี้ว่ากันว่ารสชาติดีที่สุดในเกาหลี เพราะมีลมทะเลพัดมาเพิ่มความอร่อย จริงไม่จริงต้องไปพิสูจน์กันเองนะครับชื่อหมู่บ้านดารังงี มีความหมายสื่อถึงนาขั้นบันไดที่ลดหลั่นลงไปตามเชิงเขา โดยปัจจุบันมีนาขั้นบันไดอยู่กว่า 680 ผืน รวมเป็นพื้นที่ไม่น้อยกว่า 20 เฮกตาร์ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัส ต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ซึ่งก็อิงอยู่กับวิถีเกษตรของชาวบ้านนั่นเอง อย่างในช่วงฤดูร้อน ก็จะมีกิจกรรมไถนา (ที่นี่ใช้วัวไถนานะครับ), ปลูกข้าว, จับหอยทาก,​ จับตั๊กแตน รวมไปถึงการเกี่ยวข้าวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นต้นพอพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว คุณคิมก็เริ่มให้เราทำกิจกรรมแรกเพื่อทำความรู้จักกับหมู่บ้านดารังงีให้ดีขึ้น นั่นคือ ‘Running Man’ เป็นการวิ่งหา RC ตามคำถามที่ให้มา ใครหาครบก่อน และมาส่งให้กรรมการได้ก่อน (ต้องหา RC ถูกต้องด้วย) ก็จะได้รับรางวัลไปครับ กิจกรรมนี้สร้างชื่อเสียงให้หมู่บ้านดารังงีโด่งดังไปทั่วเกาหลี และถือเป็น Unique Program ที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์เริ่มต้นเกมส์ Running Man ด้วยการแบ่งพวกเราออกเป็น 5 ทีม แล้วแจกแท๊ปเลทให้ทีมละเครื่อง ในนั้นมีคำถามอยู่ 10 ข้อ เพื่อให้เราออกไปค้นหาในหมู่บ้าน เช่น ให้ไปหาคนที่อายุมากที่สุดในหมู่บ้าน,​ให้ไปหาทุ่งนาขนาดเล็กที่สุดในหมู่บ้าน, ให้ไปหาหินรูปร่างเหมือนหินตา-หินยาย ของไทย อะไรทำนองนี้ พอพบ RC แต่ละข้อแล้ว ก็ให้ใช้แท็ปเลทถ่ายภาพทุกคนในทีมคู่กับสิ่งนั้น จนครบ แล้วเอาไปส่งกรรมการครับ สนุกล่ะงานนี้!
ใช่ว่าหมู่บ้านดารังงีจะเล็กซะเมื่อไหร่ เราเลยต้องวิ่งหากันทั่ว แถมยังต้องวิ่งขึ้นลงเนินกลางแดดยามบ่าย จะว่าสนุกก็ใช่ แต่ขอโทษนะพี่ เล่นเอาหอบเลยอ่ะ!!!
พบแล้ว คุณลุงคุณป้าผู้มีอายุมากที่สุดในหมู่บ้านดารังงี ขอถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกหน่อยน้าระหว่างเล่นเกมส์ Running Man เท่ากับเราได้ทำความรู้จักกับหมู่บ้านดารังงีในแง่มุมต่างๆ ไปโดยไม่รู้ตัว วิ่งกันเหนื่อย ก็หยุดถ่ายภาพคู่กับ Wall Painting สวยๆ ที่มีอยู่ทั่วหมู่บ้านร้านกาแฟน่ารักในหมู่บ้าน มองเห็นวิวทะเล และมีสีสันของดอกไม้ฤดูร้อนแต่งแต้มเติมชีวิตชีวา พบแล้ว ทุ่งนาผืนเล็กที่สุดในหมู่บ้าน แต่ตอนนี้ไม่มีต้นข้าว มีแต่ดอกไม้สีขาวเบ่งบานหอมชื่นใจในหมู่บ้านมีมุมถ่ายภาพเก๋ไก๋สไลเดอร์อยู่มากมาย สดชื่นดีจังเจอแล้ว หินตา หินยาย ที่สื่อถึงการกำเนิดและความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต ขอถ่ายภาพไว้เอาไปส่งกรรมการด่วนนาขั้นบันไดที่มีอยู่ไม่น้อยกว่า 108 ชั้น ไล่เรียงลดหลั่นลงมาตามลาดเนินเขาของดารังงี กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและจุดถ่ายภาพยอดฮิตไปโดยปริยาย เกมส์ Running Man วิ่งๆๆๆๆๆ ใครไม่ฟิต อาจหน้ามืดได้ง่ายๆ ฮะ ฮาฮาฮาสภาพพวกเราหลังจบเกมส์ Running Man ภาพนี้ไร้คำบรรยาย!!!เมื่อทั้ง 5 ทีม มาส่งการบ้านครบ คุณคิมก็เริ่มตรวจว่าหา RC กันครบ และถูกต้องหรือไม่นะ?
ลุ้นกันใหญ่ เพราะอยากได้รางวัลของรางวัลแด่ทีมผู้ชนะครับ
รางวัลแห่งความภูมิใจ The Running Man (Girls)เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เหนื่อยสุดๆ ได้เวลาเข้าพักในบ้าน Homestay กับคุณป้าใจดี ที่จัดห้องไว้ให้เรา 2 ห้อง แยกหญิงชาย (บ้านเราพักกัน 4 คน) แต่กว่าจะถึงบ้านก็ต้องหอบอีกรอบ เพราะบ้านตั้งอยู่บนเนิน ต้องเดินลากกระเป๋าใบใหญ่ แล้วยกขึ้นบันไดไปอีกนิด โอ้วแม่เจ้า!รอยยิ้มอันอบอุ่นของคุณป้าเจ้าของบ้าน ทำให้เราหายเหนื่อย เพราะรู้สึกเหมือนได้เห็นหน้าแม่ ที่มาคอยดูแลสารทุกข์สุขดิบให้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะการเข้าครัวเตรียมอาหารเย็นอย่างขมักเขม้น จะไปขอช่วยก็ไม่ยอม อีกอย่างคือป้าเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เราจึงต้องใช้ภาษากายสื่อสารกัน ซึ่งก็น่าแปลกว่าสามารถเข้าใจกันได้ในระดับหนึ่ง
ห้องนอนชายหนุ่ม มีทีวี แอร์ และเครื่องนอนแบบง่ายๆ เตรียมไว้ให้ คุณป้าเจ้าของบ้านเขากลัวเราหนาว เลยเปิดฮีตเตอร์ที่พื้นบ้านไว้ให้ด้วย เรียกว่าอุ่นจนร้อนเลย นี่ผมเพิ่งเล่นเกมส์ Running Man มานะครับคุณป้า จะหนาวได้ไง เหงื่อท่วมออกขนาดนี้ ฮาฮาฮา!
ระหว่างที่เราอาบน้ำเปลี่ยนชุด คุณป้าก็จัดเตรียมอาหารเย็นชุดใหญ่ให้ในห้องรับแขก
เมนูผักทอด เป็นอะไรที่ดูง่ายๆ แต่อร่อยมากในยามนี้ซุปกิมจิหม้อใหญ่ ผัดหมูเกาหลี กิมจิก้านกระเทียมใส่ปลาตัวเล็ก ไส้กรอกทอด ผักทอด ปลาชุบแป้งทอด สาหร่ายแผ่น และข้าวสวยร้อนๆ คืออาหารเย็นง่ายๆ แต่ได้ใจเราไปเลยเต็มๆหน้าตาอาหารเช้าของบ้านนี้ อลังการยิ่งกว่าอาหารเย็นซะอีก โดยเฉพาะปลาทอดแสนอร่อย โชว์ความเจ๋งของดารังงีที่เป็นหมู่บ้านติดทะเลเอาล่ะ ไม่รีรอ หิววววววว กินแล้วนะค่ำวันนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษรออยู่อีก แต่ก่อนอื่น เขาแจกกระติกน้ำเรืองแสงให้เราคนละอันไว้ประจำตัว เพราะเราต้องเดินจากศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวประจำหมู่บ้าน ไปยังโรงเรียนประจำหมู่บ้าน เพื่อทำกิจกรรมอะไรหนอ? เขาไม่ยอมบอก ปล่อยให้เรางง
เดินเรียงแถวกันไปสู่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนาขั้นบันไดและวิวทะเล ซึ่งตอนนี้แสงหมด ถ่ายภาพไม่ได้ กะว่าตอนเช้าจะมาเก็บภาพซ้ำครับณ โรงเรียนประจำหมู่บ้านซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว เพราะนักเรียนกับวัยรุ่นเข้าไปเมืองใหญ่กันหมด! แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้มันร้าง ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมยามค่ำให้นักท่องเที่ยว เริ่มด้วยเกมส์วิ่งหอยโข่ง ซึ่งเขาบอกว่าเป็นเกมส์โบราณที่ไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว เส้นที่วาดไว้บนพื้นจะเป็นเกลียวขดคล้ายลู่วิ่ง ให้สองทีมจัดคนวิ่งมาปะกัน แล้วเป่ายิ้งฉุบ ถ้าแพ้ก็ตายไปทีละคน ข้าวมื้อเย็นที่กินมาหมดไปเลยกับเกมส์นี้!เกมส์โบราณ แบ่งทีมทอยเส้น และโยนไม้ไปให้หลักของอีกฝ่ายล้ม คล้ายเกมส์สะบ้าของบ้านเรา เกมส์นี้ไม่เหนื่อยแต่ฝึกความแม่น สายตา การกะระยะ และน้ำหนักการโยนครับ
คุณคังจากหมู่บ้านดูโมที่เราไปพักเมื่อวาน ขับรถมาร่วมกิจกรรมยามค่ำกับเราด้วย แถมยังช่วยออกแบบท่าประจำกลุ่มอันแสนฮาและน่ารัก  เมื่อเล่นเกมส์ต่างๆ กันไปครบชั่วโมงนึง จนเหงื่อชุ่มโชกไปทั่วสารพางกายแล้ว ก็ได้เวลา Relax กับการลอยโคมอธิษฐานแบบเกาหลี เสร็จสิ้นการลอยโคมแล้ว แม้จะเร่ิมง่วง แต่หลายคนยังมีแรงเหลือ โดยเฉพาะคุณแม่คุณลูกแสนน่ารักคู่นี้ครับ
ก่อนเข้านอน เราใช้เวลาอีกราวหนึ่งชั่วโมง นั่งล้อมวงจับเข่าคุยกัน แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และปัญหาในการทำท่องเที่ยวชุมชน ทำให้รู่ว่ากว่าหมู่บ้านดารังงีจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อทำอย่างต่อเนื่องด้วยความสามัคคี และเติมความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ลงไป ในที่สุดก็ได้โปรแกรมการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมาย ทั้งจากจีน ยุโรป เอเชีย และคนเกาหลีเอง พี่หุย คุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคม TEATA ไม่ปล่อยให้ความรู้และข้อมูลดีๆ จากการพูดคุยผ่านเลย สมุดบันทึกคู่ใจจึงอยู่ข้างกายตลอดเวลาก่อนเข้านอน เพื่อให้กิจกรรมคืนนี้สมบูรณ์แบบ ก็ต้องทำมันหวานเผากินกันให้อุ่นท้องก่อนหมู่บ้านดารังงี คือตัวอย่างของวิถีชุมชนอันเรียบง่าย มีเอกลักษณ์ และประสบความสำเร็จด้านการท่องเที่ยวบนพื้นฐานของความสามัคคี สามารถดึง DNA หรือจุดเด่นของตนเองออกมาสร้างเป็นกิจกรรมสนุกๆ ได้มากมาย เป็นการขายความแตกต่าง ขายเอกลักษณ์ ขายเสน่ห์ ความน่ารัก ที่คนเมืองใหญ่โหยหา กลิ่นอายทะเลสีครามที่พัดโชยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บวกกับต้นข้าวอ่อนสีเขียวสดที่พลิ้วไหวไปมาตามกระแสลม คือจิตวิญญาณของหมู่บ้านดารังงี ที่เราชาวสมาคม TEATA จะไม่มีวันลืมเลยจ้าสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA เดินป่าปีนเขา Geumsan (ตอน 2)

วันที่สองของทริปเกาหลีที่แตกต่างโดย TEATA เรายังอยู่บนเกาะนัมเฮม (Namhe Island) เกาะใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของเกาหลี หลังจากโบกมือลาหมู่บ้านดูโม (Dumo Village) แล้ว เราก็นั่งรถกันมาชั่วโมงกว่า จนถึง Hallyeo Haesang National Park เพื่อเดินป่าระยะสั้นขึ้นไปชมภูมิประเทศผาหินแปลกตา ชมพืชพรรณ ดอกไม้ และได้กราบพระที่วัดบนยอดเขาด้วย งานนี้ใครไม่ฟิตมีหอบแน่นอน!!!
ตัว Mascot น่ารักๆ ของอุทยาน เชิญชวนให้เราเข้าไปสัมผัสได้ทั้ง 4 ฤดู
ก่อนเดินขึ้นเขา ก็ต้องมาฟังบรรยายสรุปเส้นทางและจุดชมวิวเด่นๆ กันก่อน โดยวันนี้เราจะเดินกันไป-กลับ เป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ไกด์บอกว่าทางไม่ชัน ส่วนใหญ่เป็นทางราบ (จะเชื่อได้จริงเหรอ???)วันนี้แดดไม่ร้อนจัด ประกอบกับผืนป่าก็ร่มรื่น ทำให้การเดินเทรกกิ้งในช่วงแรกเป็นไปอย่างชิลชิล สบายๆ ใครเดินเร็วก็นำไปก่อนเลย ส่วนผมเดินช้าเพราะต้องถ่ายภาพ และชอบชื่นชมต้นไม้ใบหญ้า ก็รั้งท้ายเช่นเคยระหว่างทางมีจุดให้นั่งพักผ่อนชมธรรมชาติด้วย อย่าลืมพกน้ำและขนมขึ้นไปกินล่ะ เพราะถ้าเที่ยวกันแบบจริงจัง ต้องใช้เวลากันเป็นวันทีเดียวบนภูเขาลูกนี้เดินมาได้ครึ่งทาง ภูมิทัศน์ก็เปิดมากขึ้น เราโผล่ออกจากแนวป่ามาสู่จุดชมวิวโล่ง เลยขอรวมตัวเก็บภาพไว้สักช๊อต ก่อนที่ทุกคนจะหอบกันไปมากกว่านี้ครับ!ภูเขาที่เรากำลังเดินเทรกกิ้งอยู่นี้ ชื่อ ‘ภูเขากวมซาน’ (Mt. Geumsan) สูง 705 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นยอดเขาสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้ของเกาหลี เพราะมีภูผาหินขนาดใหญ่รูปทรงแปลกตาผลุบโผล่ให้เห็นอยู่มากมาย โดยเฉพาะในส่วนยอดเขาบนสุด ซึ่งสามารถมองเห็นได้จาก ‘อาราม Boriam’ ที่เรากำลังมุ่งหน้าไปสักการะ บนภูเขาลูกนี้มีจุดชมวิวอยู่ไม่น้อยกว่า 38 แห่ง กระจายอยู่ตามหน้าผาและเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่คดเคี้ยวไปในราวไพร อยู่ที่ว่าคุณมีแรงมากพอจะเก็บแต้มได้มากแค่ไหนเท่านั้นเอง
ถ้าค่อยๆ เดินช้าๆ สังเกตผืนป่าสองข้างทางไปด้วย เราจะพบกับความหลากหลายของพืชและสัตว์มากมาย เขาบอกว่าในอุทยานแห่งชาตินี้มีพืชอยู่กว่า 1,142 ชนิด เช่น สนแดง (Red Pine), สนดำ (Black Pine), ต้นคามิเลีย (Camellia), ต้นโอ๊กซีเร็ตต้า (Serrata Oak) และต้นค็อกโอ๊ก (Cork Oak) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีก 25 ชนิด นก 115 ชนิด แมลง 1,566 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 16 ชนิด และเหล่าปลาอีกมากมาย เพราะอุทยานแห่งชาตินี้มีเนื้อที่กว้างใหญ่กว่า 545.63 ตารางกิโลเมตร กินพื้นที่ทั้งบนบกและในทะเลด้วยช่วงนี้เป็นฤดูร้อนในเกาหลี ระหว่างทางเดินเทรกกิ้งขึ้นเขาจึงมีดอกไม้ป่านานานชนิดเบ่งบาน สดชื่นมาก และแน่นอนว่ามันทำให้สปีตการเดินของเราลดลงด้วย เพราะต้องหยุดถ่ายภาพกันบ่อยมาก (ดีได้พักเหนื่อยไปด้วยนิ) สมาชิก TEATA หยุดชักภาพดอกไม้ตลอดทาง เธอคนนี้ผู้มีหัวใจรักธรรมชาติสุดๆ ครับจากแนวป่ามองทะลุยอดไม้ขึ้นไปเห็นยอดเขาหินตั้งตระหง่าน ในขณะที่หนทางก็เริ่มทวีความชันเป็นเนินยาวขึ้นเรื่อยๆ
เห็นเต็มตาขึ้นเมื่อใกล้ยอดเขา กับภูผาหินขนาดมหึมา ชวนให้จินตนาการไปเป็นรูปทรงต่างๆ พี่เอื้องกับน้องโม นี่คือหยุดนั่งเล่นชมธรรมชาติ หรือนั่งพักเหนื่อยจ๊ะ? เสียงหายใจแรงเชียว! (ล้อเล่นนะครับ)น้องจิ้น น้องโม น้องโอปอ นี่ก็หยุดพักชมธรรมชาติเช่นกัน!ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ‘อาราม Boriam’ ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของยอดเขา Geumsan อารามนี้ถือเป็น 1 ใน 3 อารามที่มีผู้คนนิยมมาสักการะและสวดมนต์มากที่สุดในภาคใต้ของเกาหลีเลยล่ะ (อีก 2 แห่งคือ วัด Ganghwado Bomunsa และวัด Naksansa Hongryeonam) ใครจะขอพรอะไรก็เชิญตั้งจิตอธิษฐานได้เลยตามอัธยาศัยครับจาดยอดเขามองเห็นยอดเขา Geumsan ตั้งตระหง่านน่าเกรงขามอยู่ด้านหลัง โดยมีทางเดินป่าขึ้นไปประมาณ 1 กิโลเมตร จนถึงจุดที่มีสะพานเหล็กเชื่อมยอดเขาหินสองลูกไว้ด้วยกัน อันเป็นจุดชมวิวพาโนรามาสุดตระการตา และนักท่องเที่ยวนิยมเก็บภาพกันมากที่สุดครับความงามในรายละเอียดของสถาปัตยกรรมและพุทธศิลป์แบบเกาหลี ที่ต้องชื่นชม สมาชิก TEATA บางท่าน ไม่ได้ไปเดินเทรกกิ้งต่อขึ้นยอดเขา Geumsan แต่ใช้เวลาคุ้มค่าด้วยการนั่งสมาธิอย่างสงบ ข้าน้อยขอคารวะ!จริงๆ แล้วก่อนเข้าไปกราบพระในอาราม เราต้องล้างมือให้สะอาดด้วยนะจ๊ะ เขาเตรียมน้ำบริสุทธิ์ไว้ให้แล้ว
จากอารามมีจุดชมวิวขึ้นไปทางทิศเหนือ แลเห็นภูผาหินขนาดมหึมาโผล่ทะลุผืนพรมสีเขียวของพงไพรขึ้นมา ไม่ต่างจากยักษ์ปักษ์หลั่นอันน่าเกรงขาม ทำให้เราสำเหนียกในความเล็กกระจ้อยร่อยของตัวเรา ซึ่งมิอาจเทียบได้กับธรรมชาติผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ระหว่างเดินขึ้นเขา พบ ดอกโรโดเดนดรอน (กุหลาบพันปี) สีชมพูเบ่งบานอยู่เป็นดงใหญ่ ในเมืองไทยก็มี แต่พบทางภาคเหนือและภาคอีสานบนภูเขาที่ความสูงเกิน 1,000 เมตรขึ้นไปเท่านั้นครับยืนเหม่อมองทะเลภูเขาเรียงรายสลับซับซ้อนเวลายังเหลือ ถ้าจะหยุดอยู่แค่ที่วัดก็กระไรอยู่ เราหนุ่มสาวชาว TEATA จึงชวนกันเดิน (ปีนป่าย) ขึ้นเขาต่อไป เพื่อหวังไปให้ถึงจุดที่เป็นบันไดเหล็กเชื่อมภูเขาหินสองลูก ทว่าหนทางก็มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทางเรียบๆ กลับกลายเป็นบันไดชันนับร้อยๆ ขั้น เราจึงต้องรวบรวมพละกำลังอีกครั้ง ค่อยๆ ก้าวเดินเป็นจังหวะและหายใจให้สม่ำเสมอ อีกทั้งปล่อยให้สีเขียวของผืนป่ารอบกายช่วยดึงดูดชักนำเราไปอย่างได้ผลทางชันต่อเนื่องขึ้นเขา พิสูจน์ใจ พิสูจน์กาย และพิสูจน์ศรัทธาของเราเองหนทางเดินลัดเลี้ยวผ่านไปในราวป่าเปลี่ยว มีเพียงเสียงหัวใจของเราเองพูดคุยกับธรรมชาติ ณ วินาทีนี้ เราลืมบางสิ่งที่เคยเจ็บปวด ปล่อยให้แมกไม้เยียวยาหัวใจอันบอบช้ำ (โห Drama มากๆ ฮาฮาฮา)ใบเมเปิลในฤดูร้อนเปล่งประกายเป็นสีเขียวสดใสเมื่อต้องไอแดดอุ่น ผิดกับในฤดูใบไม้ร่วงช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่พวกมันจะผลัดใบเป็นสีเหลือง ส้ม แดง ฉูดฉาดบาดตายิ่งนักเปลือกไม้บางต้นก็สวยงามราวกับภาพวาดศิลปะชั้นเยี่ยม ที่แอบมีคนมาเติมแต้มเอาไว้ผีเสื้อกลางคืน (ชีปะขาว) หรือ Moth ตัวน้อย เกาะพักหลับอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้รก ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็คงไม่เห็นใบเฟินอ่อนคลี่ออกรับแดดอุ่น ช่วยดูดซับความชื้นไว้ทำให้ราวป่าทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำขนาดยักษ์สองสาว TEATA พี่อ้อ น้องน้ำ เดินชมธรรมชาติบนภูเขา Geumsan กันเพลิน (หรือหลงทางครับ???)ทางเดินบางช่วงบนยอดเขา งดงามราวภาพวาดที่ดูแล้วสงบดีจัง
พื้นทางเดินหลายๆ ช่วง ปูลาดไว้ด้วยเชือกมะนิลา ที่ถูกถักทอสานกันเป็นผืนใหญ่ ช่วยป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวลื่น เป็น IDEA ที่ดี น่าเอามาทำบ้างในบ้านเรานะครับ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ในที่สุดก็ถึงยอดเขา Geumsan สูง 705 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง บนนี้เป็นลานหินขรุขระเปิดโล่ง ล้อมรอบด้วยแมกไม้เขียว และวิวสุดสายตาพาโนรามาของอุทยาน ก้อนหินกลมคล้ายหัวกะโหลกบนยอดเขานี้มีขนาดมหึมาจนเราตะลึง มันถูกเชื่อมไว้ด้วยสะพานเหล็กแข็งแรง ให้นักทอ่งเที่ยวเดินข้ามไปมาระหว่างผาหินสองยอด ซึ่งถ้ามองลงไปเบื้องล่างก็สุดเสียวเพราะคือเหวดีๆ นี่เอง! ใช้เวลาไปกว่าครึ่งวันบนภูเขา Geumsan เรียกว่าทั้งสนุกสนานและได้ความรู้ในเรื่องราวของธรรมชาติกันไปเต็มๆ Late Lunch มื้อนี้ เราชวนกันไปล้ิมลองอาหารประจำชาติเกาหลีสุดฮิตเมนูหนึ่ง ที่ร้านเจจู (Jeju Restaurant) ร้านมีชื่อเสียงมากในแถบนี้ เมนูที่ว่าคือ ‘บิบิมบับ’ (Bibimbap) หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า ‘ข้าวยำเกาหลี’ ก็คงไม่ผิด เป็นอาหารสุขภาพและอาหารที่สาวๆ หลายคนกินตอนลดความอ้วนครับ เพราะไม่มีเนื้อสัตว์เลย มีแต่ไข่และพืชผักนานาชนิด ราดด้วยซอสเกาหลีไว้ด้านบน เวลาจะกินก็คลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากันจนเนียนเหมือนข้าวยำปักษ์ใต้บ้านเรานั่นล่ะ แต่ถ้าไม่อยากกินข้าวเยอะ ก็ให้ตักข้าวออกก่อนส่วนหนึ่งได้ ไม่ว่ากันบิบิมบับช่วยเรียกพลังเรากลับมาได้อย่างวิเศษ บ่ายนี้นั่งรถต่อไปหมู่บ้านดารังงี บนเกาะนัมเฮ ต้องหลับแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร เพราะไม่มีอะไรเร่งร้อน Happy ดีจังทริปนี้สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

เที่ยวเกาหลีสไตล์ TEATA หมู่บ้านดูโม (ตอน 1)

เมื่อเอ่ยถึงชื่อประเทศ ‘เกาหลี’ หลายคนคงจะนึกถึงกิมจิ ผักดองแสนอร่อย, ย่านเมียงดง ถนนคนเดินช้อปปิ้งชื่อดังที่สุดในกรุงโซล, นึกถึงนักร้องหน้าใสวง Boy Band และนึกถึงละครซีรีส์เรื่องโปรด ที่ทำให้หลายคนออกเดินทางตามรอยพระเอกนางเอกที่ตนชื่นชอบไปยังประเทศนี้ ทว่าแท้จริงแล้วเกาหลียังมีเรื่องน่าสนใจอื่นๆ อีกมากมายให้เราค้นหาได้ไม่สิ้นสุด อย่างเช่นการเดินทางสุดพิเศษของ ‘สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย’ หรือ TEATA ในครั้งนี้ ที่กำลังนำเราไปรู้จักเกาหลีในมุมมองอันแตกต่าง

ทริปนี้ผมโชคดี ต้องขอบคุณ คุณนีรชา วงศ์มาศา นายสมาคม TEATA ที่มอบโอกาสให้ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะ 34 ชีวิต เดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน Study Trip ของ 4 หมู่บ้านชนบทเกาหลี ระหว่างวันที่ 7-11 มิถุนายน 2561 ด้วยความร่วมมือและสนับสนุนอย่างดีจาก Korea Rural Village Experience Council (KRVEC) ซึ่งมีเครือข่ายสมาชิกท่องเที่ยวหมู่บ้านกว่า 1,000 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศเกาหลี และกำลังเป็นเทรนด์ท่องเที่ยวมาแรง ไม่ต่างจากการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-based Tourism) ของไทยเลยสักนิดเดียว คงเพราะคนปัจจุบันเบื่อหน่ายสังคมเมืองอันสับสนวุ่นวาย จึงโหยหาความสงบ ธรรมชาติ และเสน่ห์ของวิถีผู้คนในชุมชนท้องถิ่นนั่นเองครับ
วันแรกเราบินตรงจากไทยไปยังสนามบินปูซาน แล้วนั่งรถยนต์ต่ออีก 2 ชั่วโมงครึ่ง สู่ เกาะนัมเฮ (Namge Island) เกาะใหญ่ทางภาคใต้ของเกาหลี เยี่ยมเยือนหมุดหมายแรกที่เราตั้งใจ คือ ‘หมู่บ้านดูโม’ (Dumo Village) เมืองนัมเฮ (Namhe) จังหวัดคยองซาง (Geongsang) ที่มีชื่อเสียงในแง่ว่า ตัวหมู่บ้านแม้มีเนื้อที่ไม่มาก ทว่าถูกโอบล้อมด้วยป่าสน แถมอาชีพหลักของชาวบ้านคือทำนาปลูกข้าว เราจึงได้เห็นนาข้าวแบบผืนน้อยกับทะเลสีฟ้าครามอยู่คู่กันอย่างแปลกตา หาไม่ได้ง่ายๆ การมาเที่ยวหมู่บ้านดูโมจึงมีคอนเซปต์ที่ว่า ‘Farm & Fishing’ คือเราสามารถเที่ยวสัมผัสได้ทั้งวิถีเกษตรกรรม นาข้าว และวิถีประมง ท้องทะเล ในเวลาเดียวกัน เริ่ดจริงๆ อ่ะ
พอไปถึงปั๊ป ผู้นำชุมชนก็มารับเราไปทานอาหารเที่ยงกันก่อนเลยวันนี้ผู้นำชุมชนและหน่วยงานท่องเที่ยวชนบทของเกาหลีหลายท่าน มาต้อนรับเราด้วยตนเอง โดยเฉพาะ Mr. Lee Kyujeong (ประธาน The Korean Rural Village Experience Council / คนใส่แว่น เสื้อสีฟ้า)
อาหารมื้อแรกในเกาหลีน่าประทับใจ เพราะเป็นอาหารแดนกินจิแท้ๆ นั่งกินกับพื้น มีเครื่องเคียงนานาชนิดยกมาเสิร์ฟ พร้อมด้วยซุปผัก ผัดหมูเกาหลี กินกับข้าวสวยร้อนๆ โดยใช้ช้อนและตะเกียบเหล็กแบบเกาหลี ทำให้รสชาติอาหารที่ว่าดีอยู่แล้ว อร่อยขึ้นอีกเป็นกองเลย ทีเด็ดคือ เครื่องเคียงทุกอย่างเติมได้ไม่อั้นครับ ฮาฮาฮากิมจิ ผักดองเพื่อสุขภาพ เป็นเครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้ในทุกมื้ออาหารของคนเกาหลี แต่ละบ้านล้วนมีสูตรของตนเอง เมื่อกินบ่อยๆ จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ขับถ่ายดี เพราะผักดองกิมจิมีเอนไซม์ที่เป็นประโชน์ต่อร่างกายมากเครื่องเคียงนานาชนิด เติมได้ไม่อั้น แค่กินเครื่องเคียงอย่างเดียวก็อิ่มแปร้แล้วมั้ง ฮาฮาฮาวัฒนธรรมการกินแบบเกาหลี คือต้องกินอาหารกับช้อนและตะเกียบเหล็กแบบนี้ ทีแรกอาจไม่ค่อยถนัด แต่พอสักพักจะรู้สึกว่าตักคีบอะไรได้มั่นคงดีมาก จึงทำให้ Speed การกินเราไม่ตกเลย อิอิห้องรับประทานอาหารรวม ของหมู่บ้านดูโม ไม่ใหญ่โต แต่อบอุ่นด้วยมิตรไมตรีของคุณป้าๆ ที่มาคอยดูแลเราอย่างใกล้ชิด ไม่ขาดตกบกพร่อง โดยคนที่มาท่องเที่ยวหมู่บ้านดูโม ทั้งแบบ One Day Trip และ Overnight (ค้างคืน) ก็จะต้องมากินอาหารรวมกันที่นี่ทั้ง 3 มื้อครับ อาหารก็มีให้กินกันอิ่มแปร้ ไม่ต้องห่วงตัวหมู่บ้านดูโมมีที่ราบไม่มากนัก นาข้าวส่วนใหญ่อยู่ในหุบเขาหว่างกลาง มีแนวภูเขาขนาบสองด้าน จากใจกลางหมู่บ้านเราเดินหรือปั่นจักรยานชิลชิล ผ่านผืนนาไปแค่ไม่ถึง 10 นาที ก็จะถึงท่าเรือแล้ว ที่นี่เขาจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนกันเองอย่างน่ารัก มีการแบ่งหน้าที่กันทำ และรับนักท่องเที่ยวในปริมาณที่พอเหมาะ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวถูกใช้เป็นทั้งที่ให้ข้อมูล ที่กินอาหาร และด้านบนเป็นที่พักแบบง่ายๆ ซอยเป็นห้องๆห้องพักแต่ละห้อง พักได้ 3-5 คน พร้อมห้องน้ำในตัว วิธีการนอนก็เป็นแบบเกาหลีแท้ คือปูฟูกบางๆ นอนบนพื้น จากห้องเปิดประตูไปมองเห็นนาข้าวและทิวเขา ได้ยินเสียงกบเขียด แมลง หรีดเรไร และนกต่างๆ ร้องระงม ใกล้ชิดธรรมชาติ อากาศก็สดชื่นสุดๆ ชีวิตชาวบ้านที่ยังผูกพันอยู่กับผืนนา และความพอเพียงต้นข้าวเขียวขจี รับไอแดดอุ่นของฤดูร้อนริมทะเล บนเกาะนัมเฮ แห่งนี้ในนาข้าวยังมีกบ เขียด แมลงปอ แมลงต่างๆ และลูกอ๊อดว่ายไปมา บ่งบอกว่าผืนนาที่นี่เป็น Organic หรืออินทรีย์แท้ๆวิวโล่งโปร่งสบายของหมู่บ้านดูโม สร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนแปลงกายเป็นพระเอกเกาหลี ไปโพสต์ท่าถ่ายภาพเก็บไว้ความน่ารักอีกอย่างของหมู่บ้านดูโม คือเขามีการวาด ภาพบนฝาผนัง หรือ Wall Painting สวยๆ น่ารักๆ ไว้มากมาย เพื่อเพิ่มสีสัน เติมชีวิตชีวา และใช้เป็นฉากถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวได้อย่างไม่รู้เบื่อเลย โดยภาพแต่ละอันก็สะท้อนเรื่องราว ความโดดเด่น หรือประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านภาพนี้คือหัวกระเทียมครับ ที่เขาบอกว่าหัวกระเทียมของเกาะนัมเฮอร่อยที่สุดในเกาหลี รสชาติเหมือนแอปเปิล! เพราะดินดี และลมทะเลพัดเข้ามาโดนต้นกระเทียม ทำให้รสชาติต่างจากที่อื่นๆสองสาวฮิปสเตอร์ โพสต์ท่าถ่ายภาพอย่างสนุกสนานภาพ Wall Painting บนกำแพงของบางบ้าน ก็ละเอียดยิบ และสวยงามจนต้องหยุดเก็บภาพกันอย่างนานเลยจะหล่อไปไหนเนี่ยะ พี่เล็ก?! นอกจากการปั่นจักรยานเที่ยวชมรอบๆ หมู่บ้านแล้ว กิจกรรมยอดฮิตที่ทำให้หมู่บ้านดูโมโด่งดังมาก ในประเทศเกาหลีคือ ‘การพายเรือคายัคในทะเล’ (Sea Kayak) โดยเขาจะมีไกด์ท้องถิ่นให้ความรู้ สอนก่อนว่าต้องพายยังไง มีเสื้อชูชีพให้ แล้วนำเราพายเรือคายัคจากท่าเรือเลาะเลียบชายฝั่งออกไปยังเกาะใกล้ๆ คลื่นลมไม่แรง พายสนุก ชมวิวเพลินๆ ใครเหนื่อยก็พายกลับได้เลย ไม่มีการบังคับกัน โดยกิจกรรมนี้ใช้เวลาราวๆ 1.30 ชั่วโมง นับเป็นกิจกรรม Eco-tourism ที่ไม่รบกวนธรรมชาติ อีกทั้งทำให้เราได้ใกล้ชิดทะเลแบบเอื้อมมือแตะน้ำได้เลย สนุกสนานกันใหญ่กับการพายเรือคายัคในทะเลจริงๆ เทคนิคการพายง่ายๆ คือ ให้พายพร้อมกัน ซ้าย ขวา โดยให้คนหลังดูจังหวะคนหน้าเป็นหลัก วันนี้โชคดีคลื่นลมไม่แรง เลยไม่เหนื่อยมาก ชิลๆ จากนั้นก็เป็นกิจกรรมนั่งเรือประมงออกไปตกปลาในทะเลแบบ Fishing with the Fisherman ที่สนุกสนาน และปลอดภัย เพราะเรือประมงของเกาหลีเขาดูทันสมัย สะอาดสะอ้านมากเรื่อเร่งเครื่องตัดผืนทะเลเรียบสีฟ้าครามสะอาดตา ออกสู่เวิ้งอ่าวเบื้องหน้า ที่มีเกาะน้อยใหญ่เรียงรายรอเราอยู่แค่ 10 นาที ก็มาถึงจุดเหมาะ ที่กัปตันคิดว่ามีปลาให้เราได้ตกแล้วกัปตันใจดี สาธิตการตกปลาด้วยสายเอ็นเกี่ยวเบ็ดอย่างง่ายๆ หย่อนลงไปในน้ำลึกราวๆ 3 เมตร กระตุกเอ็นขึ้นลง ประเดี๋ยวเดียวก็ได้ปลาตัวเขื่องติดเบ็ดขึ้นมา แต่เราไม่ได้เอามันไปกินนะ ปล่อยมันกลับลงทะเลดีกว่า เหยื่อที่ใช้เกี่ยวเบ็ด ลักษณะคล้ายไส้เดือนหรือหนอนทะเลก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ คือ เป็นเหยื่อที่ปลาชอบกินมาก (กัปตันบอก)ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 5 นาที ก็ได้ปลาตัวเบ้อเริ่ม! บ่งบอกถึงความอุดสมบูรณ์ของท้องทะเลแถบนี้ ที่ไม่ต้องแล่นเรือออกไปไกลฝั่งเลยหน้าตาน้องปลาที่กำลังตกใจ ก่อนเราปล่อยเขากลับคืนลงสู่ท้องทะเลดังเดิมพอตกปลากันหอมปากหอมคอแล้ว เรือประมงก็พาเราแล่นวนรอบเกาะใหญ่ ให้ได้ชมภูมิประเทศชายฝั่งโขดหินแปลกตา ทั้งสีสันและรูปทรง นี่คือเสน่ห์ของชายฝั่งทะเลตอนใต้ของเกาหลีล่ะ เย็นย่ำแล้ว อาบน้ำเปลี่ยนชุดซะหอมฉุย ตอนนี้ได้เวลาอาหารค่ำแบบง่ายๆ แต่แสนอร่อยแล้ว มีครบทั้งคาร์โบไฮเดรต ผัก ปลา เนื้อสัตว์ สมกับที่มีคนบอกว่าอาหารเกาหลีเป็น Healthy Food จริงๆมื้อนี้มีปลาแดดเดียวทอดราดซอสพริกด้วย ออกจะเค็มๆ นะ ต้องกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ถึงจะพอดี แต่ตอนกินต้องระวังก้างด้วยชุมชนหมู่บ้านดูโม มีการแบ่งงานแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน และทำท่องเที่ยวใน scale ที่พอเหมาะเท่าที่ตนเองรับไหว ไม่เกินขีดจำกัด อย่างคุณป้าแม่ครัวก็จะผลัดเวรกันมาดูแลนักท่องเที่ยว เข้าครัว ทำความสะอาด ส่วนเวลาปกติก็กลับไปทำงานบ้านของตน ทำนาทำไร่ และช่วยสามีในอาชีพประมง เขาจึงทำท่องเที่ยวได้อย่าง Happy มีรอยยิ้ม เพราะใช้การท่องเที่ยวเป็นอาชีพเสริมเท่านั้น นี่สิ ถึงจะก่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริงคุณคัง (Mrs. Kang) หญิงแกร่งหญิงเก่ง ผู้เป็นหัวหอกสำคัญกลับมาพัฒนาท่องเที่ยวในบ้านเกิดของเธอ จากที่ดูโมเคยทำอาชีพปลูกข้าวและประมงเท่านั้น ใช้เวลา 3-4 ปี กลับมีชื่อเสียงในแง่การท่องเที่ยวชุมชน ที่ดึงจุดเด่นของตนเองออกมาพัฒนาเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวอันมีเอกลักษณ์ คือ Farm & Fishing บวกกับกิจกรรมพายเรือคายัคในทะเล ที่โด่งดังไปทั่วเกาหลี นี่คือความภูมิใจของคนทำงานและรักบ้านเกิดอย่างแท้จริง
พี่หุย คุณนีรชา นายกสมาคม TEATA มอบของที่ระลึกให้คุณคัง ต่อไปนี้เราเป็นเพื่อนและเป็นเครือข่ายกันแล้วนะจ๊ะผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่งที่คุณคังได้คิดค้นพัฒนาขึ้นเองมานานแล้วก็คือ ‘ชาดอกไม้’ (Flowers Tea) เพราะในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของหมู่บ้านดูโม ในป่าบนภูเขาหรือตามท้องทุ่ง จะมีดอกไม้เบ่งบานละลานตา เธอจึงนำมาผลิตเป็นชาดอกไม้หลากชนิด ที่ให้กลิ่น สี และรสชาติต่างกัน กลายเป็นของที่ระลึกของหมู่บ้านดูโม ที่หมู่บ้านอื่นๆ บนเกาะนัมเฮทำเลียนแบบกันเพียบเลยในปัจจุบัน
ค่ำคืนในหมู่บ้านดูโมผ่านไปอย่างรวดเร็ว อากาศยามค่ำและยามเช้าตรู่ที่เย็นสบายกำลังดี ทำให้ไม่ต้องเปิดพัดลม แอร์ หรือเครื่องทำความร้อนแต่อย่างใด ผมตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นอย่างงัวเงีย แต่ธรรมชาติบริสุทธิ์ของดูโม กลับทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดแรงบันดาลใจในการออกไปปั่นจักรยานชมหมู่บ้านยามเช้าอันสดใสเบิกบานเช่นนี้ชาวนาที่ดูโมตื่นเช้ากว่าผมอีก ตอนนี้ถึงเวลาซ่อมต้นกล้า เติมน้ำเข้านา และถอนวัชพืชออกจากท้องนา อากาศเย็นสบาย มีสายหมอกบางๆ โรยตัวลงอย่างอ่อนโยนปั่นจักรยานแค่ไม่ถึง 10 นาที จากใจกลางหมู่บ้านที่เป็นทุ่งนา มาสู่ท่าเรือที่เราออกไปพายคายัคกันเมื่อวาน ขณะนี้ท้องน้ำนิ่งสงบ ไร้คลื่นลม พาให้จิตใจสงบไปด้วย ผมพบแล้วมุมแห่งความสุขที่ค้นหามานาน!อาหารเช้าสไตล์หมู่บ้านดูโม มื้อนี้มีปลาแดดเดียวตัวใหญ่ทอดมาให้ชิมด้วย ว้าว!
ได้เวลาอำลาหมู่บ้านนารักนามว่า ดูโม แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1 วัน 1 คืน แต่ก็เกิดภาพประทับใจและความทรงจำดีๆ มากมายที่นี่ น้ำใจไมตรีของชาวบ้าน รอยยิ้มอันอบอุ่น และผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง นำพาดูโมไปในทิศทางที่ควรจะเป็น โดยสามารถรักษาเอกลักษณ์และวิถีของตนไว้ได้อย่างเต็มร้อย ถ้ามีโอกาส ผมต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอนครับ
ก่อนจากลา พี่เอื้อง ท่านผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานอุบลราชธานี มอบของที่ระลึกเก๋ไก๋ไว้ให้คุณคัง แล้วพบกันใหม่นะจ๊ะSimple Smile @Dumo Village. I Never Forgot it!สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)

Happiness Never Ended @Klong Thom Spa Town (Episode 2)

I continue my wonderful trip in Klong Thom Spa Town to Klong Thom Tai Sub-district (ต.คลองท่อมใต้) famous for their ancient beads trading center among Andaman’s Malaya Peninsula, archeologist unearth thousands of antiques especially the ancient beads in variable shapes, colours and materials. The Suriyathep Bead (ลูกปัดสุริยเทพ) is the most famous among all because its found not more than 100 pieces around the globe so its cost higher than million baht each! I need to see it with my own eyes, then I visited Klong Thom Temple (in Thai วัดคลองท่อม).

            Klong Thom Museum located in Klong Thom Temple, here i can enjoy the fine collection of 2,000-3,000 years ancient bead around the world such as from Persian, Roman Empire, Southern India, etc. However, the most outstanding ancient bead of Klong Thom is the colorful glass bead which produced in top secret process and trading around the world for 2,000-3,000 years ago.

            One hour in Klong Thom Museum is never enough for me but I should move to the next destination ‘Wang Hin Pandanus Weaving Craft Center’ (กลุ่มหัตถกรรมเตยปาหนัน บ้านวังหิน) in Klong Thom Tai Sub-district, one of the most famous Islamic weaving style in Krabi. The villagers at the weaving center show their warm welcome smile and hospitality, then show me the pandanus (เตยปาหนัน) weaving process starting from the fresh pandanus leaf collecting as first step, then transform it to a countless tiny fiber, coloring the fiber, drying and the most difficult step is weaving its with local patterns creating various kind of gift & handicraft for tourist, such as mat, hat, wallet, bag, basket, tablet case, etc. The developing of better processing and modern weaving pattern matching the tourist’s lifestyle, hence villager can sell a high quality souvenirs made by their hands – head – heart.

            Not far from the Pandanus weaving center in Klong Thom Tai Sub-district, I take a short break at a small special restaurant with air conditioning ‘I Arun Rang Nok’ (ไออรุณ รังนก). Here I can enjoy the peaceful atmosphere among greenery garden with true southern Thai food recipe, beside I can taste high quality Bird Nest Beverage made from swallow’s nest collected from both natural and bird nest farm in Klong Thom Spa Town. Good news is they have a new products ‘Beauty Drink’ made from natural herb around here. First one is ‘Sparkling Ma Muang Bao Drink’ (น้ำมะม่วงเบา) produce from a local mango breed grows in this area, we calls Beauty Drink because its contained a lot of anti-aging extract, vitamin, honey and mineral water of Klong Thom Spa Town itself. The second latest product is ‘Dala Blossom Drink’ (น้ำดาหลา) process from Dala Flower one of Zingiber family plant, mixed with mineral water, bird nest and Garcinia (ส้มแขก) contained high quantity of antioxidant and anti-aging extract.

            I continue my trip in Klong Thom Tai Sub-district to ‘Goat Farm Small Enterprise Klong Kanan Taew Raew’ (วิสาหกิจชุมชนเลี้ยงแพะ คลองขนานแต้วแร้ว), the new attraction for tourist in Klong Thom Spa Town. The owner of this goat farm is so friendly, they invite me to see their business and feeding milk to baby goat at the first place. Next is what i can’t miss, Goat Milk Ice Cream Testing, ha ha ha! The 3 flavours they provide are Coffee-Cashew Nut Flavor, Banana-Cacao Flavor and Passion Fruit-Honey Flavor. I cannot tale which one I like most, because I prefer all! The Goat Milk Ice Cream is good for the one who allergy to Cow Milk, therefor you can easily enjoy the fine texture of soft ice cream containing high protein and calcium in very low fat rate.

            Not only the Goat Milk Ice Cream but many more spa produces process from goat milk invented in Klong Thom Spa Town, such as ‘Nourishing Sun Bright SPF 50 PA++’ with BB cream and waterproof performance, this nourishing cream can relief facial dark spot and make your face soften like a baby. Next is ‘Goat Milk Body Lotion & Soap’ mixed from natural herbal and local organic rice contained high degree of vitamin and protein, can soften and brighten up your skin, moreover it could reduce melanin spot and acne, so you can feel free for your routine make up and the beauty.

            While the weather is quite hot in the afternoon, I need somewhere to cool down and relax in Spa Town. ‘Klong Thom Coffee’ is one place I can enjoy good coffee by local people, so the best way to prove is tasting it, right? The latest 3 capsule coffee blended I found here are ‘The Original’ (Robusta 100%), ‘Medium Strong’ (Robusta 80% Arabica 20%) and last one is ‘Strong’ (Robusta 50% Arabica 50%). This capsule coffee can easily prepare with a small machine, no need for any assist from professional Barista, hence the organic coffee of Klong Thom is now transform to the new era for Coffee Lover. Then I order Medium Strong Coffee to taste, YES I LOVE IT.

            Now I heading to Huai Nam Khao Sub-district (ต.ห้วยน้ำขาว) of Klong Thom Spa Town, where I plan to overnight and discover the most special hot spring in Thailand, ‘Saline Hot Spring’ (in Thai น้ำพุร้อนเค็ม) an unseen natural hot spring which local peoples believe in its natural healing power. This Saline Hot Spring is one of the ‘Big3’ in Klong Thom Spa Town : The Emerald Pool, The Hot Waterfall and Saline Hot Spring, like the main flagship of wellness tourism attractions in Klong Thom nowadays. Saline Hot Spring is so special because its very rare founded around the globe, the thermal water of 40-47 degree Celsius containing with multiple effective minerals good for our body both external and internal healing. Someone believes that Saline Hot Spring can cure from skin problem, bone disease and Rheumatoid, therefore lot of patients choose here as their longstay alternative way of therapy.

            This is my turn to touch the Saline Hot Spring with myself in a luxury private pool of SHS Resort close to the original source of Saline Hot Spring, I feel so relax while the whole body dipping into the hot mineral water as MIRACLE WATER indeed !

            The latest premium spa products from Saline Hot Spring introduced to wellness & beauty market is made from Amaritha Co., Ltd. such as, ‘Hot Spring Chlorophyll Fresh Mask’ produced from white natural clay in rich minerals substance, good for facial nourishing, soften & brighten up the skin and baby-face like because of very high extract of Lumnitzera (เสม็ดแดง) chlorophyll, green tea and Melaleuca oil (น้ำมันเสม็ด) combined. Next is ‘Hot Spring Relax Herbal Massage Cream’ blended from Melaleuca oil and Cassumunar Ginger (ไพล) perform deeply muscle relief quality. Last one is ‘Energizing Hot Spring Essence’ for daily refreshing mineral spay to our face and soften facial skin.

            Still roaming around Huai Nam Khao Sub-district, I found a small bakery shop with various kind homemade sweet, cake and yummy ice cream. ‘Klong Thom Cake’ is its simple name and the shop’s logo apply from Suriyathep Ancient Bead reflected original root of Klong Thom Spa Town.

Plenty of delicious & healthy menu I can find here, such as ‘KUR Herbal Tea’ (ชาใบขลู่) made from Indian Marsh Fleabane (ต้นขลู่) plant abundantly grows in this area, the tea is blended from Nutmeg Seed (ลูกจันทน์) with high Beta-Carotene, Gac Fruit (ฟักข้าว) contained with high calcium and lycopene good for blood pressure reducing and active as an Anti-Aging Drink.

            Next is ‘Healthy Cashew Nut Cereal’ the big bar of cereal mix up with Cashew Nut (เม็ดมะม่วงหิมพานต์), White Sesame Seed (งาขาว), Nut (ถั่ว), ลูกเกด (Raisin), honey etc. which all of this can fill up our stomach in 1 or 2 pieces only, unbelievable!

            Now is a ‘Fancy Golden Cake’ the traditional sweets present in cup cake-like, noted for its very soft texture and nice sweet taste. A perfect couple with KUR Tea, I think.

            Recommended menu here is a ‘Pandan Cake with Coconut on top’ famous for its very fine texture as cotton-like body cake with the Pandan aroma while chewing, and finishing with the crispy fresh coconut layer on top. WOW! Can’t wait anymore!

            Another perfect couple with any kind of tea or coffee is a ‘Choc-Balls’ which make me feel refresh by its deep dark chocolate taste and dense layer cake ready to make me happy while chewing!

            The new local snack just launch to the customer here is a ‘Shrimp & Banana in Chili Paste’, the perfect blended of dry tiny shrimp with Kluai Hom Thong Banana (กล้วยหอมทอง) abundantly grows in Klong Thom, mix up with local chili paste call ‘Nam Prick Kung Seab’ (น้ำพริกกุ้งเสียบ) one of the most famous chili paste in Krabi. The snack presented in a very crispy shrimp & banana coated with sweet, sour, salted and a bit chili taste blended in a perfect proportion.

            And the last but not least is a ‘Green Tea Ice Cream’, serving in a triangle shape as a cake-like. If you been to a Japanese restaurant before and use to try a cup of Green Tea Ice Cream there, I can tell you that Klong Thom Green Tea Ice Cream is not different !

            Last destination I’ve been visited in Klong Thom is Phe Lha Sub-district (ต.เพหลา) located in the northern most of Klong Thom area, dominant by vast paddy field with the Learning Center. Their organic rice is call ‘Kao Rai’ (ข้าวไร่) growing appropriately on the high ground by natural precipitation, therefore Khao Rai can grows and harvest once a year. Moreover, this Learning Center can kept a lot of local rice biodiversity, such as Kao Dhok Kha (ข้าวดอกข่า), Kao Dhok Pha Yom (ข้าวดอกพะพยอม) and Kao Chor Mai Pai (ข้าวช่อไม้ไผ่), etc. which all of these are very healthy organic rice breed.

            After visited Kao Rai plantation and back to the Learning Center, I can taste the healthy ice cream in 4 flavors process from organic Kao Rai, which is Green Bean Flavor, Black Bean Flavor, Hom Nil Rice Flavor and Kao Rai Flavor. I cannot judge which one is the best because I like all natural flavor mix up in this ice cream. So I bought to my friends as well.

            Time rapidly run out for this trip, may be because I can enjoy with the hot spring, the spa products, the hospitality of the villagers, the green atmosphere and all delicious cuisine. When we happy, time goes so fast! But countless memorable good pictures in Klong Thom still in my mind, this is the place where wellness concept and tourism activity perfectly blended.

I fall in love with Klong Thom Spa Town, the Happiness Never Ended here, I believe!

Happiness Never Ended @Klong Thom Spa Town (Episode 1)

What is the most preferable conceptual way of living in your life? For most Thai People’s the answer exactly will be ‘A Good Health’ because nowadays we need a healthy living and long life stay with our family or love one. Media broadcast repeatedly about the dramatic increasing statistic of Thai people die because of cancer every year! So what happened to our country for the way of living, what we consumed or how we take care of our body, mind and spirit?

For me if i can ‘TAKE A BREAK’ escaping to somewhere slow life among green atmosphere, moreover I could relax in health or spa service destination, Oh! That’s my little paradise of ‘Wellness Tourism’ ideal. My dreams come true when i’ve been visiting Klong Thom District, Krabi Province in southern Thailand, so called ‘Klong Thom Hot Spring Spa Town’ the place where nature – local life – wellness tourism can blended into one concept.

In the previous day, Krabi is well known for their blue ocean’s beauty by Sea – Sand – Sun and Sky which millions of tourists around the globe visited the province annually. However, Krabi have more than the ocean & islands, but containing with various kind of wellness tourism products, especially the World Class HOT SRING destination in Klong Thom Spa Town revealing new concept of ‘Sea – Sand – Sun and Spa’.

Only 30-40 minutes by car from Krabi International Airport, heading south to Klong Thom Spa Town with a good quality super highway, first felling of Green Route expose to my eyes. Make me feel like my watch is stopping and the smell of happiness spreads through the air and suddenly absorb into my heart. Klong Thom’s atmosphere is really different from the crowded beach of Ao Nang in Krabi Muang District, in contrast the tranquility of Klong Thom make me fall in love at first sight.

Klong Thom Nua Sub-district is the first area i’m getting to. Because of ‘The Emerald Pool’ and ‘Hot Waterfall’ are the most outstanding Iconic attractions among the tourists. Geologist survey can explained why Klong Thom have many natural hot spring as we seen nowadays. The simple reason because this area is laying above the crack of tectonic plates, releasing hot – heat – natural spring to the earth’s surface. Moreover, difference size of the hot spring providing various kind of premium spa products, such as white-clay spa, facial mask and energizing spray, etc. This is the true value of Spa Town i can feel and touch in the real world.

‘The Emerald Pool’ (สระมรกต in Thai) is the flagship of Klong Thom Spa Town attraction, this crystal-clear water natural pool located in the middle of Khao Pra – Bang Kram Wildlife Sanctuary, Klong Thom Nua Sub-district. Surrounded by virgin tropical rain forest and lush green canopy, known as ‘The Last Lowland Rain Forest in Thailand’ and also the last habitat of Gurney’s Pitta, very rare bird of the world still roaming this jungle. May be i cannot see it in this life, but shot trekking routes (Nature Trail) of 800 m. and 1,300 m. give me a good chance in observing another kind of birds, butterfly and exotic plants, for example the palm tree spreading its finger leaf-shape harvesting sunlight among dense humid jungle.

Dipping myself into the Emerald Pool on a sunny day, cold spring water make me fresh again after a long journey from my hometown Bangkok. I swim around the pool, dive into the shallow water and say hello to small fishes surrounded me as their new friend. This is an unforgettable moment that the Emerald Pool can reboot & refresh me in one place. Oh! What a wonderful world! Ha ha ha.

After visited the Emerald Pool, the best way to enjoy Spa Town is take a short stop at ‘Krabi Coffee’ small and lovely coffee shop with a factory producing blended coffee from Baan Pandin Samor (บ้านแผ่นดินเสมอ) where abundant volcanic soil are the sources of special quality coffee. Arabika and Robusta breed introduces into Klong Thom for long time ago growing well with volcanic soil, hence this shop owner can produce 3 in 1 coffee and New Blended Smooth Drift Coffee. I ordered 1 cup of black coffee drifted by hot boiling water, aroma smell spread to the air, and one sip of coffee make me feel like at home.

My next destination is ‘Hot Waterfall’ (น้ำตกร้อน in Thai) one of the amazing destination of Klong Thom Nua sub-district, opened to the public for many years and very poplar among the group tour in Krabi. From the main gate i took a transfer mini-bus to the hot waterfall that hiding itself under the shade of dense canopy by the Klong Thom Cannel, origin of the district’s name. My guide told me that in the past Klong Thom Cannel is wider and deeper than this, therefore many ships can cruise along for their commercial activities. Especially the Ancient Beads trading centered here 3,000 years ago!

As i see, hot waterfall is very small but so wonderful indeed, its capacity is not over 20-30 tourists soaking in the same time. Therefore during the weekend or long holiday this place is too crowded more than you can imagine! However, today i’m so lucky, only 10 tourists just arrived so i can dip myself into the hot mineral of 30-40 degree celsius which make me very happy. I just sit stay still into the hot water, let if flows over my shoulders, my body, my skin from head to toes. So Nice! Because hot mineral spring here is a Natural Spa healing me in holistic include body, mind and spirit.

Good news is local SMEs developer of Klong Thom got a new spa product from the Hot Waterfall, which is ‘Mineral Sun and Smooth Lotion’ a perfect mixture of Hot Waterfall Mineral Water with local herbals eg., coffee’s berry, Artocarpus (มะหาด) and Caesalpinia (ฝาง) trees, performing a great value of smooth lotion with aroma containing free radicals anti-aging, moisturizing, anti skin inflammation and muscle relief quality. This product is now in developing process and will be in the market soon at Klong Thom Spa Town.

Not far from the Hot Waterfall just across Klong Thom Cannel is ‘Wareerak Hot Spring Retreat’ one of the top premium spa service in Thailand, located among the greenery atmosphere with excellent landscape design, accommodation, healthy cuisine, services especially various spa treatment programs we can choose as our preference. In 2018 Wareerak offers a latest Spa Treatment to their guest and I would like to try that.

The spa treatment start with a warming up exercise in various postures adapting from Chinese Tai Chi and Thai Traditional Exercises. Then we are invited to have a skin scrub with Thai Herbals by professional therapist, then have a body massage and facial mask with black spa clay originated produce in Klong Thom itself.

The Program continue with an Acupressure in the hot spring pool, starting from hands and arms to feet and legs. This acupressure treatment is originated from Chinese tradition knowledge and adapted to the modern spa program smoothly.

Before finishing, Wareerak have more special treatment for you, firstly is ‘Scent Therapy’ by sniffing mixed herbal scent put into warm clay pot, this is one of the best way to clear your mind and nasal cavity for the better breathe respiratory.

Second special treatment is just for lady ‘Healthy Womb Therapy‘ by sitting on a small chair above a tiny stove with mixture Thai Herbals selected for the specific reason. When the whole herbals expose into fire heat, many natural substances will be vapourize up directly to the lady’s sitting above, could gives a stronger and very healthy womb and uterus for long term. Wow!

Before I leave Klong Thom Nua to another area, villagers suggest me to test more new spa products ; such as ‘Coffee Jel Mask’ from coffee berry at Baan Pandin Samor (บ้านแผ่นดินเสมอ) which containing a rich caffeine like an anti-aging jel and deep cleansing to our facial skin. Next product is ‘Coffee Bean Purifying Clear Soap’ can give you a baby face when use it frequently.

Last attraction in Klong Thom Nua I visited was suitable for all, because this is the Textile Art Lover destination. Here you can creates DIY activity on T-Shirt silk screen, block printing and Tie Dye technics teach by experienced local textile artisan. The latest wale design is a tree and birds with block stamp technics which you can do it by yourself (DIY) then take it as a memorable souvenirs from Klong Thom Spa Town.

Oh this is a long long day with happiness all around, i’m going to check in a lovely boutique hotel for tonight. I will come back on Klong Thom episode 2, I would like to meet you again. Bye bye.

TEATA เซ็นต์ MOU เกาหลี แลกเปลี่ยนเรียนรู้ท่องเที่ยวชุมชนยั่งยืน

เมื่อวันที่ 7-11 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) ได้นำคณะสมาชิก 34 ชีวิต เดินทางสู่ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อร่วมศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน 4 ชุมชนท้องถิ่น และเซ็นต์บันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT : Community-based Tourism) ระหว่างกันอย่างยั่งยืน โดยการเซ็นต์ MOU ครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ระหว่าง TEATA โดยคุณนีรชา วงศ์มาศา นายกสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย เป็นตัวแทน และในฝั่งเกาหลีมี Mr.Kyujeong Lee นายกสภาท่องเที่ยวหมู่บ้านชนบทเกาหลี (The Korean Rural Experience Village Council : KREVC) เป็นตัวแทนการเซ็นต์ MOU ครั้งนี้ ถือเป็นมิติใหม่ในการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนของทั้งสองประเทศ เพราะในอดีตที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีการทำข้อตกลงในลักษณะนี้เกิดขึ้นมาก่อน ผลจากการเซ็นต์ MOU ของทั้งสององค์กร ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนในหลายๆ ด้าน ทั้งองค์ความรู้ในการจัดการและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน, การฝึกอบรมบุคลากรร่วมกัน, การศึกษาดูงาน, การจัดทริปท่องเที่ยวแบบเหย้าเยือน ฯลฯ โดยองค์ความรู้ต่างๆ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน หรือ CBT ได้อย่างกว้างขวางในทุกมิติ ในทริปนี้ TEATA ได้เข้าไปเยี่ยมเยือน ทำกิจกรรม และพักค้างคืนในชุมชนน่ารัก 4 แห่งของเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นชุมชนต้นแบบในการท่องเที่ยว CBT ที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง ทั้งในแง่การจัดการ, กิจกรรม, ที่พัก, อาหาร และตัวแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ หมู่บ้านดูโม (Dumo Village) เมืองนัมเฮ จังหวัดคยองซาง, หมู่บ้านดารังงี (Darangee Village) เมืองนัมเฮ จังหวัดคยองซาง, ไร่ชาโพฮยองดาวอน (Bohyang Da Won Tea Farm Village) เมืองโพซอง จังหวัดเจลลา และ หมู่บ้านเวอัม (Way Am Village) เมืองอาซาน จังหวัดชองชุงนัม
การเยี่ยมชมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Study Trip) ครั้งนี้ของ TEATA ทำให้เราได้รับทราบถึงบทเรียนอันทรงคุณค่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่ดี มีประสิทธิภาพ เป็นขั้นเป็นตอน มีการแบ่งหน้าที่กันทำในชุมชนอย่างชัดเจน เราได้เห็นการมีส่วนร่วมของผู้คนในชุมชน บนรากฐานของความสามัคคี ที่พยายามดึงจุดเด่นของตนเองออกมาสร้างเป็นกิจกรรมและแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างน่ารัก อีกทั้งยังได้รับทราบถึงการส่งเสริมของภาครัฐอย่างจริงจัง ตั้งแต่ระดับนโยบาย งบประมาณ องค์ความรู้ เครื่องไม้เครื่องมือที่พรั่งพร้อม รวมถึงความจริงใจในการผลักดันให้ ‘การท่องเที่ยโดยชุมชน’ ของเกาหลีใต้ ประสบความสำเร็จดังเช่นทุกวันนี้ในปัจจุบัน สภาท่องเที่ยวหมู่บ้านชนบทเกาหลี (The Korean Rural Experience Village Council : KREVC) มีหมู่บ้านสมาชิกอยู่ทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 1,000 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งมีจุดเด่นต่างกันไป และเที่ยวได้ใน 4 ฤดูอันแตกต่าง ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าสู่ชุมชนที่เคยซบเซาถูกทิ้งร้าง จนปัจจุบันการท่องเที่ยวชุมชนได้กลายเป็น Trend ใหม่สุดฮิตในเกาหลีไปแล้ว เพราะมิใช่ว่าไปเที่ยวชุมชนแล้วจะได้พบเห็นแต่วิถีชีวิตผู้คนเท่านั้น ยังมี กิจกรรมเชิงธรรมชาติและผจญภัย (Eco-Tourism) เดินป่า พายเรือ ปีนเขา ฯลฯ ผสมผสานเข้าไปด้วยอย่างลงตัว จนกลายเป็น Farming Experience Village ที่โด่งดังมาก ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่กำลังจะถึงนี้ คณะทำงานท่องเที่ยวชุมชนของเกาหลีใต้ มีแผนที่จะเดินทางมาเยี่ยมเยือนประเทศไทยด้วยเช่นกัน เราจึงมีโอกาสทำความเข้าใจซึ่งกันและกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือหรือฟันเฟืองหนึ่ง ในการขับเคลื่อนชุมชนให้คึกคัก คับคั่ง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยยังสามารถรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนเองไว้ได้ สมดังเจตนารมณ์ของ TEATA และการเซ็นต์ MOU ครั้งนี้ ให้บรรลุผลในเชิงปฏิบัติเป็นรูปธรรมต่อไปสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) โทร. 08-3250-9343 (คุณน้ำ)