Explore Mie, Miracle of Kansai (Episode 3)
วันที่ 3 ของการเดินทางท่องเที่ยวในดินแดนแสนสุขของ จังหวัดมิเอะ (Mie) ดูเหมือนว่าความเข้มข้นของความสนุกสนานและสวยงาม จะยิ่งทวีขึ้นจนทำให้เราแปลกใจ เพราะมิเอะเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายจริงๆ แหม หลงไปเที่ยวที่อื่นอยู่ซะตั้งนาน ทำไมไม่รู้จักมิเอะก่อนหน้านี้นะ ฮาฮาฮา
วันนี้ช่วงเช้า เราขอย้อนยุคกลับไปเป็นเด็กกันอีกครั้ง เพื่อเข้าไปเที่ยวใน ‘สวนสนุก Theme Park Espana’ ซึ่งอันที่จริงแล้วก็เป็นเจ้าของเดียวกับโรงแรม Shima Spain Mura และอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันด้วย สามารถเดินจากโรงแรมไปแค่ 5 นาทีถึง หรือจะนั่งรถ Shuttle Bus ของเขาที่มีรับส่งเป็นรอบๆ ได้อย่างสบาย
แค่เดินพ้นปากประตูเข้ามานิดเดียว ก็ถึงกับต้องร้องโอ้โหอ้าหา! เมื่อเห็นสถาปัตยกรรมที่จำลองอาคารในประเทศสเปนมาไว้ในมิเอะได้อย่างแนบเนียน และยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ บวกกับวันนี้ฟ้าใสอากาศเป็นใจด้วย ได้ยินเสียงชัตเตอร์กล้องรัวกันไม่หยุดเลย
จากนั้นก็เดินตรงเข้าสู่ ถนนสเปน หรือ Espana Avenue ที่มีร้านรวงขายของที่ระลึกน่ารักๆ เรียงรายอยู่สองฟากฝั่ง บางคนอดใจไม่ไหว ต้องเข้าไปชมอยู่นานสองนานสวนสนุก Theme Park แห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ถ้าจะเที่ยวกันให้ทั่วขอบอกเลยว่าต้องใช้เวลา 1 วันเต็ม เพราะนอกจากจะมีอาคารสวยๆ สไตล์สเปนให้ชม ให้ถ่ายภาพกันอย่างจุใจแล้ว ยังมีโซนเครื่องเล่นเจ๋งๆ กระจายอยู่อีกมากมาย ทั้งรถไฟเหาะตีลังกาแบบนั่งห้อยขาสุดเสียว, เรือไวกิ้ง, รถไฟลอยฟ้า, ม้าหมุน, ล่องเรือผจญภัย ฯลฯ รวมถึงมีโรงละคร โรงภาพยนตร์ ปราสาทจำลอง และร้านกาแฟ ร้านขนมอร่อยๆ เปิดบริการทุกวัน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นครอบครัวเห็นอาคารสวยๆ แบบนี้ ถ้าไม่บอกว่าอยู่ในญี่ปุ่น คงนึกว่าอยู่ในสเปนจริงๆ นะเนี่ยที่นี่มีมุมให้โพสต์ท่าถ่ายภาพกันนับไม่ถ้วน เพราะเขาใส่ใจในรายละเอียด และนำความ Art เข้ามาผสานผสมได้อย่างกลมกลืนมากกระเบื้องโมเสกสุดสวยได้รับการเนรมิตขึ้นเป็นงานศิลปะอันแปลกตานี่ไง Roller Coaster แบบนั่งห้อยขา ซึ่งถือเป็นที่สุดของที่สุดสำหรับเครื่องเล่นในสวนสนุก Theme Park แห่งนี้ หลายคนที่เคยเล่นบอกว่ามันเสียวกว่าแบบธรรมดาหลายเท่า เพราะเหมือนกับเรานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่แล่นไปตามราง ไม่ใช่การเข้าไปนั่งในขบวนรถไฟเหาะแบบทั่วไปนะสิ ยิ่งตอนที่ถึงช่วงตีลังกาหลับหัวเหวี่ยงไปมายิ่งเสียวสุดๆ มันจึงไม่เหมาะสำหรับคนกลัวความสูง เกลียดความเสียว หรือคนใจอ่อน อย่างแน่นอน!เจอจังหวะนี้เข้าไป พูดไม่ออก กรี๊ดกันสนั่น!!!
เรือไวกิ้งก็เสียวไม่แพ้รถไฟเหาะตีลังกาเหมือนกัน!
รถไฟลอยฟ้าน่ารักๆ ธรรมดา ชิลๆ สำหรับพ่อแม่พาลูกเล็กๆ นั่งเล่น ไม่เสียว ก็มีเหมือนกัน
ใช้เวลาอยู่ที่สวนสนุกกันกว่าครึ่งวันจนหมดแรง ได้เวลาไปเติมพลังกันแล้ว กับอาหารรสเลิศจากท้องทะเลที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของ เมืองชิมะ (Shima) จังหวัดมิเอะ ได้เป็นอย่างดี เพราะแถบนี้มีชายฝั่งเว้าแหว่งเป็นอ่าวน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน คลื่นลมค่อนข้างสงบ น้ำใสแจ๋ว แต่ก็มีแพลงก์ตอนและธาตุอาหารในน้ำอยู่อย่างอุดม จึงมีสัตว์น้ำชุกชุมมากตรงที่น้ำตื้นๆ ใกล้ฝั่ง เราจะเห็นสาหร่ายหลายชนิดเติบโตขึ้นรับแสงแดดอุ่น ความใสของน้ำทะเลที่นี่ไม่ต่างจากแก้วคริสตัลเลยจริงไหม?
อาหารเที่ยงวันนี้พิเศษสุดๆ ไม่ใช่ภัตตาคารใหญ่ ไม่ใช่ร้านอาหารหรู ไม่ได้มีดาวระดับมิชิลินสตาร์ ทว่าเป็นร้านเล็กๆ ชื่อ ‘Maruzen Suisan’ หรือ ‘ฟาร์มหอยนางรม มารูเซน’ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงเมืองชิมะ เราต้องจอดรถไว้ แล้วเดินเข้าไปที่ร้าน ระยะทางราวๆ 200-300 เมตร ระหว่างทางได้เห็นวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวประมงญี่ปุ่น อันเงียบสงบเรียบง่าย และผูกพันอยู่กับท้องทะเลทุกเมื่อเชื่อวันฟาร์มหอยนางรม มารูเซน ตั้งอยู่ในเวิ้งอ่าวโทบะ (Toba) ของเมืองชิมะ ซึ่งเป็นเวิ้งอ่าวเล็กๆ โอบล้อมด้วยรรมชาติ แมกไม้ และหมู่บ้านชาวประมงขนานแท้ ความใสสะอาดของน้ำที่นี่ ทำให้ชาวบ้านสามารถเลี้ยงหอยนางรมตัวใหญ่อ้วนพี และดูเหมือนว่าเราจะมากินหอยกันถูกฤดูกาลเผงเลย เพราะเขาบอกว่าช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ต่อต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเราไปถึงนั้น หอยนางรมจะอร่อยที่สุด ว้าว!เรือประมงของชาวญี่ปุ่นเขาไฮโซไม่น้อย ไม่ใช่เรือตังเกไม้ตะเคียนทองแบบบ้านเรา แต่เป็นเรือเหล็กเรือไฟเบอร์ซึ่งเห็นทีแรกนึกว่าเรือยอร์ช ฮาฮาฮา
หอยนางรมของฟาร์มมารูเซนตัวใหญ่อวบอ้วน เนื้อขาวนวลแบบที่เห็น เมื่อเก็บมาจากกระชังแล้ว ก็จะมีแผนกแกะไปทำอาหารตามเมนูที่ลูกค้าสั่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็ไม่ได้แกะออกจากเปลือก แต่จะให้ลูกค้าเอาไปย่างเอง เพื่อความสนุกสนานในการกิน
คุณป้าใจดีแกะหอยนางรมสดๆ ออกจากเปลือกโชว์ให้เราดู โอ้โห! น่าหม่ำ!คุณลุงเจ้าของฟาร์มหอยนางรม มารูเซน โชว์หอยที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยความภูมิใจ แม้จะคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะคุณลุงพูดแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่รอยยิ้มและมิตรไมตรีที่มีให้ ก็ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลมาชิมกันไม่ขาดสาย แต่ขอบอกเลยว่าถ้า Walk In เข้ามาอาจไม่ได้กิน ต้องโทรจองล่วงหน้า เพื่อให้คุณลุงออกเรือไปเก็บหอยมาเตรียมไว้ก่อนนะสิ แบบนี้ถึงจะเรียกว่า Local จริงๆ น่ารักมาก
ความพิเศษของร้านคุณลุง คือไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นดิน แต่ร้านที่ให้ลูกค้านั่งกินหอยนั้น อยู่บนโป๊ะลอยน้ำขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในภาพ ข้างในมีโต๊ะเรียงราย พร้อมเตาย่างหอยนางรม ซึ่งบางเตาใช้ถ่านเพิ่มกลิ่นหอม และบางเตาก็เป็นเตาไฟฟ้าแบบใหม่ ทีนี้หลายคนสงสัยว่าเกิดมาไม่เคยกินหอยนางรมย่าง เพราะคนไทยเรากินแต่หอยนางรมสด ญี่ปุ่นเขาเลยมีนาฬิกาจับเวลาไว้ให้ทุกโต๊ะ ตั้งเวลาไว้ที่ 9 นาทีเท่ากันหมด พอเริ่มย่างหอยก็กดปุ่มนาฬิกา เมื่อครบ 9 นาที มันก็จะร้องเตือนปิ๊ปๆๆๆ เปิดฝาครอบออกมา หอยสุกกินได้พอดี เอ้อ เจ๋งอ่ะ!ร้านนี้เปิดทุกวัน วันธรรมดาตั้งแต่เวลา 11.00-12.20 น. และ 12.40-14.00 น. ส่วนวันเสาร์อาทิตย์มีหลายรอบ คือ 10.50-12.10 น. / 12.30-13.50 น. และ 14.10-15.30 น. ให้เวลากินรอบละ 80 นาที แบบไม่อั้น กินได้เท่าไหร่กินกันเข้าไปเลย ยกมาเพิ่มตลอด โดยเขาจะใส่หอยนางรมสดมาให้ทีละถาดแบบที่เห็นในภาพ ใต้โต๊ะมีกาละมังใบใหญ่ไว้ให้ใส่เปลือกหอยที่แกะแล้ว ส่วนอุปกรณ์การกินก็มีให้ครบ ทั้งผ้ากันเปื้อน ถุงมือกันร้อน มีดแงะหอย ที่คีบ แต่ไม่มีน้ำจิ้มให้นะ ฮาฮาฮา (อาจต้องแอบเอาน้ำจิ้ม Seafood ไปเอง)
สำหรับใครที่ไม่เคยแงะหอยนางรมสดออกจากเปลือก อาจต้องออกแรง และใช้เวลาฝึกนิดนึง แต่พอแงะไปสักตัวสองตัวก็จะชำนาญเองจ้า
วิธีกินก็ไม่ยากไม่ง่าย เอาหอยนางรมสดทั้งตัว (ที่ยังมีเปลือก) ย่างไว้บนเตา ปิดฝาเหล็กครอบไว้ 9 นาที (บางคนบอก 7 หรือ 8 นาทีพอ ไม่งั้นมันจะสุกไป ไม่นิ่ม) หลังจากนั้นก็เปิดฝาครอบ ใช้มีดแงะเนื้อมากินได้เลยภาพนี้คงไม่ต้องบรรยาย สด ตัวใหญ่ เนื้อนุ่ม หวานมากๆๆๆๆๆ
อิ่มเอมเปรมปรีกันจนพุงกางกับหอยนางรมไม่รู้กี่ตัวที่ลงไปอยู่ในท้องขณะนี้ เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็คงต้องไปอิ่มตาอิ่มใจกันด้วย เราเลยนั่งรถเลียบชายทะเลของอ่าวโทบะ ต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากไปเยือนสักครั้ง! อ้าว พูดอย่างนี้ไม่ได้โอเวอร์นะ เพราะสถานที่ที่เรากำลังเดินทางไป คือ ‘เกาะไข่มุกมิกิโมโต้’ (Mikimoto Pearl Island) เป็นฟาร์มไข่มุกชั้นนำของโลก และกล่าวกันว่าสามารถผลิตไข่มุกคุณภาพดีที่สุดของโลกขึ้นได้นั่นเอง!
วันนี้ทางมิกิโมโต้รู้ว่าเราจะไปเยือน จึงจัดเตรียมชักธงชาติไทยขึ้นคู่กับธงชาติญี่ปุ่นเพื่อต้อนรับ นับเป็นการให้เกียรติกันอย่างสูงเลย
นี่คือเกาะไข่มุกมิกิโมโต้ เกาะซึ่งมีการเลี้ยงหอยมุกครั้งแรกโดย คุณลุงโคคิชิ มิกิโมโต้ เมื่อปี ค.ศ. 1893 นับเป็นฟาร์มหอยมุกในเชิงอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จแห่งแรกในญี่ปุ่น เพราะก่อนหน้านั้นในอดีต คนญี่ปุ่นใช้ไข่มุกเพื่อเป็นเครื่องประดับ และนำมาบดทำยารักษาโรค โดยมีการเพาะเลี้ยงหอยมุกกันเป็นฟาร์มขนาดเล็กเท่านั้น และแน่นอนว่าไม่มีการส่งออกไปขายต่างประเทศด้วย
การเข้าถึงเกาะไข่มุกมิกิโมโต้ เราต้องเดินข้ามสะพานทางเชื่อมเหนือทะเลเข้าไป โดยบนเกาะแบ่งเป็น 4 โซน ให้เที่ยวชม คือ ลานไข่มุก, พิพิธภัณฑ์ไข่มุก, จุดแสดงหญิงนักประดาน้ำหาไข่มุก อามะซัน และสุดท้ายคือ หอรำลึกเกียรติประวัติคุณลุงโคคิชิ มิกิโมโต้ ผู้ก่อตั้งฟาร์มไข่มุกแห่งนี้ขึ้นโฉมหน้าของ คุณลุงโคคิชิ มิกิโมโต้ (ท่านมีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1858-1954) ท่านเกิดในร้านบะหมี่ชื่อ Awako ของบิดา บริเวณอ่าวโทบะ จากนั้นเมื่ออายุ 20 ปี ท่านก็เข้าไปทำงานในกรุงโตเกียว ได้เห็นการค้าขายสินค้าทางทะเลจากเมืองโยโกฮาม่า อย่างพวกหอยเป๋าฮื้อและปลิงทะเลตากแห้ง ท่านจึงตัดสินใจเร่ิมต้นอาชีพพ่อค้าของทะเลจากบ้านเกิด และสุดท้ายก็เข้าสู่ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงหอยมุก ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่าหอยมุกมีคุณค่าและมีมูลค่าสูงกว่าของทะเลตากแห้งหลายร้อยเท่า โดยในช่วงเริ่มต้นทำฟาร์มหอยมุกนั้น ท่านได้คำแนะนำอย่างดีจากผู้เชี่ยวชาญชื่อ Narayoshi Yanagiในช่วงที่คุณลุงโคคิชิ มิกิโมโต้ เร่ิมทำฟาร์มหอยมุกนั้น เป็นยุคเมจิซึ่งญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศรับอารยธรรมตะวันตกแล้ว และเกิดวิกฤตขึ้นอย่างหนึ่งบริเวณอ่าวโทบะบ้านเกิดท่าน คือมีการจับสัตว์ทะเลและหอยมากเกินไป จนพวกมันแทบหมดสิ้น! โดยเฉพาะหอยมุกนั้นไม่มีเหลือในธรรมชาติอีกเลย ฟาร์มของท่านจึงสร้างแรงบันดาลใจในการฟื้นฟูสภาพธรรมชาติขึ้นมา ควบคู่กับการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงค้าขายอย่างประสบความสำเร็จ
หลังศึกษาค้นคว้าอยู่นาน ท่านก็พบว่าจากบรรดาหอยมุกกว่า 100,000 ชนิดที่มีอยู่ทั่วโลก มีหอยมุกอยู่แค่ 6 ชนิด ที่ให้ไข่มุกสวยที่สุด ทั้งสีดำ สีขาวนวล สีทอง และสีฟ้า แต่พันธุ์ที่ถือว่าให้ไข่มุกสวยที่สุดในโลก คือ หอยมุก Akoya (ชื่อวิทยาศาสตร์ Pinctada fucata) เพราะจะได้ไข่มุกเม็ดโต ทรงกลมสมบูรณ์ สีสันสวยงาม และมีความแววาวในเนื้อ อย่างหาที่เปรียบมิได้!
นับจากวันนั้นจวบจนวันนี้ ก็ครบ 160 ปีแล้ว ที่ชื่อไข่มุกมิกิโมโต้ ได้ผงาดขึ้นมาในวงการเครื่องประดับและไข่มุกของโลก โดยร้านที่ท่านเปิดขายแห่งแรกอยู่ในย่านกินซ่า ของมหานครโตเกียว การทำธุรกิจของคุณลุงโคคิชิ มิกิโมโต้ ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่แค่การขายไข่มุกเป็นเม็ดๆ ทว่าท่านได้ส่งพี่ๆ น้องๆ ไปเรียนการทำเครื่องประดับถึงโรงเรียนในยุโรป เพื่อกลับมาทำคอลเลกชั่นเครื่องประดับไข่มุกของตนเอง นับว่าท่านเป็นคนที่มี Vision มากคณะนักท่องเที่ยวจาก บริษัท เวิล์ด โปร แทรเวิล จำกัด ถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก ด้านหน้าอนุสาวรีย์ท่านโคคิชิ มิกิโมโต้ได้เวลาไปชมการแสดง การดำน้ำงมหอยมุกของเหล่าหญิงนักดำน้ำโดยไม่ใช้ถังอากาศแห่งมิเอะ เรียกว่า ‘อามะ’ (Ama) เป็นอาชีพเก่าแก่อันมีเกียรติ และอยู่คู่กับฟาร์มไข่มุกมิกิโมโต้มาตั้งแต่ต้น เพราะพวกเธอคือคนที่ดำน้ำนำแม่หอยมุกลงไปไว้ที่ก้นทะเล เพื่อเลี้ยงให้มันเติบโตค่อยๆ สร้างไข่มุกขึ้น หรือในเวลาที่มีพายุคลื่นลมแรงมากๆ พวกเธอก็ต้องดำน้ำลงไปย้ายหอยมุกเข้าสู่บริเวณที่ปลอดภัย และเมื่อหอยมุกโตได้ที่ ถึงเวลาเก็บมาขาย ก็พวกเธออีกนั่นล่ะที่ต้องดำน้ำลงไปงมขึ้นมา ขอนับถือเลยอามะ
การสาธิตดำน้ำตัวเปล่าของเหล่าอามะนี้ แม้จะเป็นแบบง่ายๆ แต่ก็น่าสนุก และช่วยให้เราได้เห็นถึงความยากลำบาก ความเสี่ยงอันตราย ในอาชีพใต้น้ำนี้เป็นอย่างดี ในอดีตว่ากันว่าที่มิเอะมีอามะอยู่เป็นพันคน พวกเธอมีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่และคุณป้าคุณยายวัยดึก! สามีออกเรือประมงไปจับปลา พวกเธอก็ดำน้ำเก็บหอยเป๋าฮื้อ กุ้งมังกร สาหร่ายทะเล ปลิงทะเล หอยสังข์ กัลปังหา และหอยมุก ขึ้นมาขายเลี้ยงชีพ
กระทั่งฟาร์มไข่มุกมิกิโมโต้เปิดตัวขึ้นอามะส่วนหนึ่งจึงได้มาช่วยงานในฟาร์มอย่างถาวร แม้ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าขึ้นมาก และอาชีพดำน้ำตัวเปล่าไม่ใช้ถังอากาศของอามะแทบจะหายไปแล้ว ฟาร์มไข่มุกมิกิโมโต้ก็ยังเป็นแหล่งสุดท้ายในมิเอะ ซึ่งเราจะสามารถเห็นอามะในชุดผ้าสีขาวแบบดั้งเดิมได้ (ข้างในใส่ Wet Suit สีขาวเพื่อกันหนาว เพราะน้ำที่นี่เย็นมาก) นับเป็นการอนุรักษ์อาชีพดั้งเดิมของอ่าวโทบะและจังหวัดมิเอะเอาไว้
เคยมีคนสงสัยกันว่า ทำไมอาชีพนักดำน้ำตัวเปล่าแบบนี้ต้องให้ผู้หญิงทำ ทั้งๆ ที่มันอันตรายจะตายไป เหตุผลเขามีอยู่คือ สามีของพวกเธอจะออกเรือประมงไปจับปลา และพวกเธอก็ต้องช่วยดำน้ำเป็นอาชีพเสริมเลี้ยงครอบครัว นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า ผู้หญิงมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังหนากว่าผู้ชาย จึงทนความเย็นจัดของน้ำทะเลในบริเวณนี้ได้! อีกทั้งผู้หญิงยังมีความจุปอดมากกว่า สามารถกลั้นหายใจดำน้ำได้นานกว่าผู้ชายนะสิ
อามะแต่ละคนจะมีอุปกรณ์ประจำตัว คือนอกจากชุดสีขาวที่สวมใส่แล้ว (สีขาวทำให้ปลาฉลามกลัว และไม่เข้ามาทำร้ายอามะ) ยังมีหน้ากากดำน้ำ มีด แชลงอันเล็กๆ สำหรับแงะหอยออกจากโขดหินหรือแนวปะการังใต้น้ำ รวมทั้งยังมีถังไม้ลอยน้ำได้ เอาไว้ใส่หอยและสัตว์ทะเลที่หาได้นำกลับเข้าฝั่ง
อาชีพดำน้ำตัวเปล่า หรือ Free Diving ของอามะ นับเป็นหนึ่งในอาชีพอันตรายที่สุดในโลก! เพราะพวกเธอสามารถตายได้ทุกขณะจากภยันตรายใต้น้ำ ไม่ว่าจะเป็นถูกสัตว์ทะเลมีพิษทำร้าย, ขาดอากาศจนหมดสติใต้น้ำ จมน้ำ, ปอดฉีก, เป็นตะคริว หรือถูกโขดหินใต้น้ำที่กำลังแงะหอยถล่มใส่! พวกเธอจึงต้องมีการฝึกฝนเรียนรู้สร้างความปลอดภัยให้ตัวเองด้วย อย่างเช่น พวกเธอจะไม่ดำน้ำลึกเกิน 6 ช่วงตัวของความสูงตัวเอง แต่อามะบางคนก็เคยดำน้ำลึกกว่า 10 เมตรมาแล้ว! นอกจากนี้พวกเธอจะไม่ดำน้ำนานและลึกเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการมึนงง จากการที่เริ่มมีก๊าซไนโตรเจนซึมเข้ากระแสเลือด ในขณะที่ว่ายกลับขึ้นสู่ผิวน้ำ พวกเธอจึงต้องว่ายอย่างช้าๆ พร้อมกับพ่นอากาศจำนวนสุดท้ายในปอดออกมาด้วย เมื่อโผล่ขึ้นถึงผิวน้ำ เราจึงมักได้ยินเสียงคล้ายนกหวีดที่พวกเธอร้องออกมา นั่นคือเทคนิคการระบายลมออกจากปอด มิให้ปอดฉีกนั่นเอง (อากาศในปอดเราจะขยายและหดตัวได้ ตามความกดในระดับน้ำลึกไม่เท่ากัน)
นี่จึงเป็นอาชีพที่เสี่ยง และน่ายกย่องสุดๆสิ่งที่อามะงมขึ้นมาได้จากท้องทะเลมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหอยเป๋าฮื้อ หอยมุก หอยเม่น ปลิงทะเล สาหร่ายทะเลต่างๆ กัลปังหา หอยสังข์ ฯลฯ อามะหลายคนในมิเอะมีอายุมากถึง 72 ปี และที่เคยมีการบันทึกไว้ อายุสูงสุดถึง 80 ปี! เราลองนึกภาพหญิงชราอายุ 80 ปี ดำน้ำลึก 10 เมตรโดยไม่ใช้ถังอากาศดูสิ! มัน Amazing แค่ไหน!!!!!!
อย่างไรก็ตาม เทคนิคในการดำน้ำของเหล่าอามะ มีทั้ง แบบดำน้ำเดี่ยว (Solo Diver) และดำน้ำคู่ (Couple Diver) โดยในแบบหลังนั้น คนที่เป็นสามีของอามะ จะนั่งรออยู่บนเรือ ปล่อยให้ภรรยาดำดิ่งลงไปทำงานใต้น้ำ โดยมีเชือกจากบนเรือผูกไว้ที่ตัวอามะด้วย สามีจะเป็นคนคำนวณว่าภรรยาดำน้ำนานเกินไป หรือลึกเกินไปหรือไม่ โดยดูได้จากความยาวเชือกที่ปล่อยออกไปนั่นเอง
อาชีพอามะมีบันทึกเก่าแก่ย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 3 และจะยังคงอยู่คู่จังหวัดมิเอะต่อไป แม้จากจำนวนมากมายในอดีต จะลดลงเหลือแค่ประมาณ 1,300 คนในปัจจุบัน แต่นี่ก็คือหนึ่งในจิตวิญาณแห่งท้องทะเล ที่ร้อยรัดผูกพันผู้คนอยู่กับเกลียวคลื่นสีคราม และความอุดมที่มหาสมุทรพัดพามาให้พวกเขาเก็บเกี่ยวเลี้ยงชีพ จนสร้างเอกลักษณ์ตัวตนขึ้นได้ในที่สุด
วันนี้ทาง Mikimoto จัดเลี้ยง Afternoon Tea พร้อมเค้กอร่อยๆ ให้พวกเราเป็นพิเศษเลยหน้าตาดูดีมาก บอกได้เลยว่าเชฟตั้งใจแสดงฝีมือสุดๆเดี๋ยวนี้คนญี่ปุ่นปลูกผักชีกินกันเป็นล่ำเป็นสัน เพราะเขาบอกผักชีไทยโออิชิมากๆ ฮาฮาฮา เขาเลยนำผักชีมาประกอบกับอาหารคาว อาหารหวาน อย่างที่เราเองก็ต้องทึ่งได้เวลาที่หลายคนรอคอย คือการได้ซื้อหาเป็นเจ้าของไข่มุก Mikimoto สักเม็ด หรือสักเส้น ราคาก็มีให้เลือกตั้งแต่แพงระยิบ แบบเลขศูนย์ห้าตัว ไปจนถึงราคาหลักพันบาทก็มี แล้วแต่งบประมาณของเรา โดยเขาแบ่งเป็นโซนๆ ตามราคาไว้เลย พร้อมมีใบรับประกันที่มีเลข Serial Number ให้ไว้อุ่นใจด้วย ในกรณีที่เราซื้อไข่มุกเส้นที่ราคาสูงมากๆไข่มุกสีทอง ก็เป็นชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูง ราคาต่างกันไปตามขนาด ความแวววาว และรูปทรงบางคนถามว่า ทำไมไข่มุก Mikimoto จึงมีราคาสูง ตอบง่ายๆ คือกว่าจะได้ไข่มุกแต่ละเม็ดนั้น ต้องใช้เวลาถึง 5 ปี เลี้ยงดูบ่มเพาะแม่หอยมุกอยู่ใต้ทะเล แต่ก่อนอื่น ต้องมีการคัดเลือกสายพันธุ์แม่หอยมุก เลี้ยงแม่หอยมุกจนเติบโต แล้วค่อยนำก้อนนิวเคลียสกลมๆ สอดเข้าไปในเนื้อหอยมุกให้มันระคายเคือง (จริงๆ เรียกว่าอาการเจ็บมากกว่า) จนมันคายสารแคลเซียมคาร์บอร์เนตรูปทรงคริสตัล ออกมาห่อหุ้มก้อนนิวเคลียสนั้น ซ้อนกันจำนวนหลายพันชั้น จนเกิดเป็นก้อนไข่มุกขึ้น!
ในจำนวน 100 เปอร์เซนต์ของหอยมุกที่เลี้ยงตลอด 5 ปี จะมี 50 เปอร์เซนต์ที่ตายไป มี 5 เปอร์เซนต์ที่เกิดผิดรูปทรงจนไม่สามารถเรียกได้ว่าไข่มุก มี 17 เปอร์เซนต์ ที่จัดเป็นไข่มุกคุณภาพต่ำ (Poor Quarlity Pearl) มีอีก 23 เปอร์เซนต์ ที่เป็นไข่มุกคุณภาพดี (Good Quality Pearl) และจะมีเพียง 5 เปอร์เซนต์เท่านั้น ที่ถือเป็นสุดยอดไข่มุกมิกิโมโต้ เรียกว่า ไข่มุกระดับ Hanadama
ทีนี้เข้าใจแล้วนะ ว่ากว่าจะได้ไข่มุกดีที่สุดในโลก 1 เม็ด มันยากลำบากแสนเข็นขนาดไหน!นอกจากจะมีเครื่องประดับไข่มุกให้ได้ซื้อหาครอบครองเป็นเจ้าของกันตามกำลังทรัพย์แล้ว Mikimoto ยังพัฒนาเครื่องสำอางนานาชนิด ที่มีส่วนผสมของไข่มุก ช่วยบำรุงผิวพรรณตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
นอกจากนี้ยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ไข่มุก บอกเล่าประวัติความเป็นมาของ Mikimoto พร้อมทั้งให้ความรู้เรื่องหอยมุก ไข่มุก และวิธีการเลี้ยงอย่างละเอียดยิบ
เจ้าหญิงไข่มุกแห่งมิกิโมโต้ ฮาฮาฮา ในพิพิธภัณฑ์เขามีมงกุฎไข่มุกจำลอง เอาไว้ให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันด้วยนะจ๊ะมงกุฎไข่มุกหมายเลข 2 หรือ Pearl Crown II ซึ่งมิกิโมโต้ใช้เวลาสร้างสรรค์ขึ้นถึง 14 เดือนกว่าจะสำเร็จ (สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1979) ทั้งในส่วนไข่มุกระดับสุดยอด และทองคำบริสุทธิ์ทำเป็นลวดลายเหมือนกับบนกริชของฟาโรห์ตุตันคาเมนแห่งอียิปต์เครื่องประดับล้ำค่าหนึ่งเดียวในโลกแห่ง Mikimoto ชื่อ ‘Yaguruma’ ที่ประดับประดาด้วยไข่มุกเลอค่า เพชรแท้ และพลอยสีต่างๆ การดีไซน์มีแนวคิดนำเครื่องประดับดั้งเดิมของญี่ปุ่น 12 ชิ้น มาวางลวดลายไว้ในเครื่องประดับชิ้นนี้ชิ้นเดียว มีไว้โชว์นะจ๊ะ ไม่ได้ขาย ฮาฮาฮา
ในพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงไข่มุกชนิดต่างๆ ให้ชม แต่ที่พลาดไม่ได้คือ ไข่มุกสีทอง และไข่มุกเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งได้มาจากเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎ์ธานี ของเมืองไทยเรานี่เอง!
ตัวเบาหวิว เมื่อออกจากเกาะไข่มุก Mikimoto เพราะเพื่อนๆ หลายคนได้ครอบครองสร้อยไข่มุกสมใจแล้ว! เรานั่งรถต่อไปค่อนข้างไกลนิดนึง จนถึงร้านอาหารที่จะมีน้อยคนนักได้สัมผัส เพราะเป็นบ้านของเหล่าหญิงนักประดาน้ำแห่งมิเอะ ที่เปิดเป็นร้านอาหารทะเลปิ้งย่างสดๆ ให้เราชิมกันน่ะสิ ที่นี่ชื่อ Ama Hut Satoumian อยู่ในเมืองชิมะ (Shima) นั่นเอง แต่ต้องจองก่อนนะ เพื่อให้คุณป้าอามะไปหาของทะเลมาเตรียมไว้เจ้าของร้านและพนักงานรอต้อนรับเราอยู่แล้ว พร้อมด้วยป้ายและธงชาติไทย สร้างความตื่นเต้นให้เราตั้งแต่ยังไม่เข้าไปในร้าน ขอบคุณมากนะครับบอกแล้วว่ามิเอะเป็นดินแดนแห่ง Seafood! มื้อนี้เราจึงจะได้ลิ้มลอง BBQ Seafood นานาชนิด ที่เพิ่งจับกันขึ้นมาสดๆ จากทะเลเลย มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคือ Japanese Lobster หรือ Mie Lobster (กุ้งมังกรมิเอะ) ซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่จังหวัดมิเอะ
เมนูเด่น กุ้งมังกรมิเอะ (กุ้งมังกรญี่ปุ่น) ตัวหนึ่งยาวฟุตกว่า ที่สำคัญคือมากันสดๆ เป็นๆ ไม่ใช่แบบตายแช่แข็งมาให้กินนะ เพราะร้านนี้อยู่ใกล้ทะเลนิดเดียว แถมเจ้าของร้านยังเป็นชาวประมง และมีอามะนักประดาน้ำหญิงแท้ๆ มาป้ิงย่างให้เรากินกันต่อหน้าเห็นๆ เลย สุดยอด!!!!!! อามะ (Ama) วิถีหญิงนักประดาน้ำแห่งมิเอะมีอยู่จริง และยังคงมีลมหายใจในกระท่อมริมทะเลหลังนี้
ภาพเก่าเล่าเรื่อง วิถีความสุขอันเรียบง่ายของเหล่าอามะ ในช่วงพักผ่อนหลังจากดำน้ำเสร็จ ก็ขึ้นมาปิ้งย่าง Seafood กินกัน พร้อมกับผิงไฟคลายหนาวไปด้วยไม่พูดพล่ามทำเพลง ป้าอามะเร่ิมปิ้งย่าง BBQ Seafood ให้เราหม่ำ ด้วยหอยเชลล์และหมึกตัวโตก่อนเลย
กินตามวิถีญี่ปุ่นแท้ๆ นั่งบนเสื่อตาตามิในกระท่อมอามะ กินป้ิงย่างอาหารทะเลสดๆ ที่เพิ่งขึ้นจากทะเล แหม โออิชิ!ในที่สุดก็ได้เวลาที่รอคอย BBQ กุ้งล็อบสเตอร์มิเอะ ไซต์ใหญ่จริงทุกตัว แต่คุณป้าอามะให้ชิมแค่คนละ 1 ตัว พอนะจ๊ะ ฮาฮาฮา
ป้ิงย่างอยู่พักเดียว คุณป้าอามะก็แกะกุ้งล็อบสเตอร์ยักษ์ใส่จานมาให้เราเสร็จสรรพพร้อมกิน โดยแยกหัวแยกตัว และแกะเปลือกให้เรียบร้อย น่ารักจริงๆ คุณป้าหอยเชลล์ยักษ์ กำลังเดือดปุดๆ อยู่บนเตาปิ้งย่าง รอไม่ไหวแล้ววววว!Seafood สดๆ นานาชนิดในมื้อนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า ได้มาถึงและเข้าถึงมิเอะอย่างแท้จริงแล้ว
หมึกย่างตัวโตจนแทบจะล้นตะแกรงปิ้ง!นั่งกินกันไป พูดคุยกันไป คุณป้าอามะก็จะเล่าเรื่องวิถีชีวิตการดำน้ำ และเกร็ดความรู้ต่างๆ ในท้องทะเลให้ฟังด้วย (ใครรู้ภาษาญี่ปุ่นช่วยแปลให้ที)
วันนี้เราจัดหนัก Seafood กันมาทั้งวัน ตั้งแต่หอยนางรมยักษ์มื้อเที่ยง มาจนถึง BBQ Seafood ในกระท่อมอามะตอนมื้อเย็น บอกได้คำเดียวว่า ‘มิเอะคือเมืองแห่งหอยและกุ้งล็อบสเตอร์’
ความสุข และความอิ่ม ไม่เคยปราณีใคร! วันนี้เราแทบสำลักความสุขและความอิ่มอันล้นปรี่ที่มิเอะมอบให้ ขอเข้านอนอย่างมีความสุข พร้อมเที่ยวต่อในวันสุดท้ายพรุ่งนี้นะจ๊ะ
Special Thanks : บริษัท เวิล์ดโปร แทรเวิล จำกัด (World Pro Travel Co., Ltd.) สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม
สนใจไปเที่ยวมิเอะ ติดต่อ โทร. 0-2026-3372, line id : wpoutbound หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.worldprotravel.com/tour-program
และ www.facebook.com/WorldProTravel หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ outbound@worldprotravel.com
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!