Explore Mie, Miracle of Kansai (Episode 2)
วันที่สองของการเดินทางท่องเที่ยวใน จังหวัดมิเอะ (Mie) อากาศแจ่มใส เย็นสบายกำลังดี เดินเที่ยวได้โดยไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวหนาๆ อากาศสดชื่นมาก สูดหายใจได้เต็มปอด แถมอาหารเช้าที่โรงแรมก็อร่อย
เช้านี้เราออกจากโรงแรมกัน 9.00 น. มุ่งหน้าสู่ เมืองอิเสะ (Ise) เมืองติดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกที่สำคัญมากอีกเมืองหนึ่ง เพราะเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าชินโตซึ่งมีความเก่าแก่ที่สุด มีขนาดใหญ่ที่สุด และสำคัญที่สุดในประเทศญี่ปุ่น นั่นคือ ‘ศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะ’ (Grand Shrine of Ise) เปรียบได้กับวัดพระแก้วของบ้านเราเลยทีเดียวเชียว โดยคนญี่ปุ่นเรียกที่นี่ว่า ‘อิเสะจิงงุ’ (Ise Jingu) เพราะคำว่า ‘จิงงุ’ (Jingu) แปลว่า ‘ศาลเจ้า’ (Shrine) ถ้าคนญี่ปุ่นบอกว่าฉันจะไปจิงงุ ก็เป็นที่เข้าใจตรงกันว่าเขาจะมาสักการะศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะ ในจังหวัดมิเอะ นั่นเอง
จากประตูทางเข้าด้านหน้า ที่มีซุ้มประตูโทริอิขนาดใหญ่ เราต้องเดินข้ามสะพานไม้เข้าสู่ปริมณฑลอันศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าหลวงอิเสะ ซึ่งจากจุดนี้ต้องเดินผ่านผืนป่าโบราณเข้าไปอีกราวๆ 500 เมตร แต่ก็เดินเพลิน เพราะมีธรรมชาติสุมทุมพุ่มไม้ไพรพฤกษ์ให้อภิรมย์ตลอดทางตลอดทางเข้าสู่ตัวศาลเจ้าหลัก เราจะผ่าน ซุ้มประตูโทริอิ 3-4 แห่ง อันเป็นตัวแทนของการเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงคนญี่ปุ่นยังเชื่อว่า ซุ้มประตูโทริอินี้มีไว้ให้นกมาเกาะ เพราะนกคือตัวแทนที่สามารถติดต่อกับเทพเจ้าอามาเทราสุ โอมิคามิ (Amaterasu Omikami) ได้ เทพีองค์นี้คือ เทพีแห่งพระอาทิตย์ ผู้ให้กำเนิดชาวญี่ปุ่นทั้งมวล คนญี่ปุ่นจึงเรียกตนเองว่า ‘ลูกพระอาทิตย์’ ยังไงล่ะ ทว่าไม่เคยมีใครเห็นหรอกนะ ว่าเทพีอามาเทราสุท่านมีพระพักตร์เป็นอย่างไร แต่ก็คงไม่จำเป็น เพราะชาวญี่ปุ่นได้ยอมรับนับถือในตัวพระองค์อย่างลึกซึ้งมาจนถึงปัจจุบัน
วันนี้มีนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญชาวญี่ปุ่นเข้ามาสักการะศาลเจ้าหลวงอิเสะกันอย่างล้นหลามอย่างเคย เพราะในแต่ละปีจะมีคนมาที่นี่ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน เราจะเห็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมเก่าใหม่ ของชุดกิโมโนอันสวยงาม กับชุดสูทแบบตะวันตกของผู้ชายที่เดินเคียงคู่กันไป นี่คือญี่ปุ่นที่ดำรงเอกลักษณ์ของตนไว้ ในขณะที่ก็มีความโมเดิร์นเข้ามาผสานอยู่ในทุกอณูเมื่อเดินมาถึงซุ้มประตูโทริอิแต่ละอัน เราควรหยุดยืน ตั้งใจกราบและน้อมคำนับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสิงสถิตอยู่ในศาลเจ้าหลวงอิเสะ รวมถึงทำความเคารพพลังธรรมชาติในป่าโบราณผืนนี้ด้วย เพลิดเพลินกับการเดินชมธรรมชาติสองข้างทาง ไม่ต้องเร่งร้อน เพราะเรามีเวลาอยู่ที่นี่หลายชั่วโมง
ระหว่างทางจะได้ชื่นชมต้นไม้โบราณอายุหลายร้อยปี (เขาว่าบางต้นอายุเป็นพันปี) สูงใหญ่หลายสิบเมตร ลำต้นหลายคนโอบ แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น และทรงพลัง ราวกับว่าเทพแห่งต้นไม้กำลังยืนตระหง่านคอยต้อนรับการมาเยือนของเราอยู่อย่างไรอย่างนั้นก่อนเข้าถึงตัวศาลเจ้าหลัก จะมีจุดแวะให้เราชำระล้างมือและบ้วนปากให้สะอาด จริงๆ คือกุศโลบายคล้ายการชำระกายใจ ปลดวางสิ่งวุ่นวายจากโลกภายนอก ก่อนเข้าเฝ้าเทพเจ้านั่นเอง ซึ่งจริงๆ ความเชื่อเรื่องการใช้น้ำบริสุทธิ์ชำระล้างนี้ก็มีอยู่ในทุกอารยธรรมของโลก อย่างของอาณาจักรเขมร ก่อนเข้าไปสักการะเทพในปราสาทหิน ก็ต้องชำระล้างร่างกายในบาราย (สระน้ำ) เช่นกันจริงๆ แล้วศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะมีอาณาบริเวณกว้างขวางหลายร้อยไร่ ในบริเวณนี้มีศาลเจ้าเล็กศาลเจ้าน้อยกระจายอยู่หลายแห่ง ระหว่างทางเราสามารถแวะชมและถ่ายภาพได้ในจุดที่เขาอนุญาต ในที่สุดก็เดินมาถึงตัวศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าหลวงอิเสะแล้ว จุดสุดท้ายที่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้คือตรงเชิงบันไดหินนี้ เมื่อก้าวขึ้นไปด้านบนก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพอีกต่อไป ต้องปฏิบัติตามด้วยนะ อย่าฝ่าฝืน เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ตาไวคอยมาเตือนอย่างสุภาพตัวศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าหลวงอิเสะมีกำแพงล้อมรอบ ไม่เปิดเผยหรืออนุญาตให้บุคคลทั่วไปเห็นได้ เพราะถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งยวดอย่างสูงสุดของลัทธิชินโต อีกทั้งยังเป็นสถานที่เก็บรักษา ‘คันฉ่องศักดิ์สิทธิ์’ อันเป็น 1 ใน 3 เครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพระจักพรรดิในวันขึ้นครองราชย์ (อีก 2 สิ่ง คือ พระขรรค์ และอัญมณี) ซึ่งผู้ที่นับถือลัทธิชินโตก็จะนับถือสิ่งนี้เป็นเครื่องเคารพสูงสุดเช่นกัน เนื่องจากเขาไม่มีรูปเคารพของเทพ หรือศาสดา
ตัวศาลเจ้าหลวงแห่งอิเสะสร้างขึ้นเมื่อปีที่ 4 ก่อนคริสตกาล หรือประมาณ พ.ศ. 539 เพื่อถวายความศรัทธาแด่เทพีอามาเทราสุ หรือเทพีแห่งพระอาทิตย์ และด้วยความที่ศาลเจ้าสร้างมาเมื่อหลายพันปีก่อน วัสดุที่ใช้จึงมีไม้และหินเป็นหลัก ทางญี่ปุ่นเขาก็อนุรักษ์สถาปัตยกรรมนี้ไว้ ไม่เปลี่ยนแปลง โดยกำหนดให้มีการซ่อมสร้างใหม่ทุก 10 ปี เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาเชิงช่าง และสืบสานการสืบทอดองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่นต่อไปออกจากศาลเจ้าหลวงอิเสะ แค่เดินข้ามถนนมา เราก็เข้าสู่ถนนแสนน่ารักในบรรยากาศสุดชิลชื่อ ‘ถนนโอคาเงะ โยโคโช’ (Okage-yokosho Street) เป็นถนนคนเดินย้อนยุคที่เหมาะสำหรับคนโหยหาอดีต และถือเป็นถนนคนเดินแบบโบราณอันมีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดมิเอะเลยก็ว่าได้ เพราะเขาได้ฟื้นคืนชีพชุมชนเก่าสมัยเอโดะ-สมัยเมจิตอนต้นขึ้นมา (ราวๆ ค.ศ. 1603-1868) ด้วยการบูรณะและสร้างเมืองขึ้นใหม่เมื่อ ค.ศ. 1993 เหมือนการเนรมิตภาพอดีตให้ฟืนคืน กลับมาเป็นถนนคนเดินที่คึกคักด้วยร้านรวงสองฟากฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นร้านขนม ร้านอาหาร ร้านน้ำชา พิพิธภัณฑ์ และร้านขายของที่ระลึกน่ารักๆ เป็นร้อยๆ ร้าน!
ในสมัยเอโดะและเมจิ ชุมชน ถนนโอคาเงะ โยโคโช รุ่งเรืองขึ้นก็เพราะตั้งอยู่ติดกับศาลเจ้าหลวงอิเสะนั่นเอง ในแต่ละปีจึงมีผู้คนหลั่งไหลมาสักการะศาลเจ้าไม่ขาดสาย ปัจจุบันถนนสายนี้ได้กลายเป็นเส้นทางแห่งชีวิตชีวา มีนักท่องเที่ยวทั้งญี่ปุ่นและนานาชาติเข้ามาสัมผัสความน่ารัก ทุกย่างก้าวจึงเหมือนการพาตัวเองย้อนไปสู่อดีต โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือน ได้สะท้อนส่วนเสี้ยวของวิถีปุถุชนในยุคเอโดะขึ้นอย่างชัดเจนมาก เพราะเป็นยุคที่คนชั้นกลางและชนชั้นล่างพอลืมตาอ้าปากได้ กระทั่งถึงยุคเมจิที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศรับอารยธรรมตะวันตก ถนนสายนี้จึงนำเราย้อนไปสู่สิ่งเหล่านี้ได้ราวกับ Living Museum
ความงามในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ของถนนโอคาเงะ โยโคโช
คนรักแมวต้องหยุดถ่ายรูปกันแน่นอน กับรูปน้องเนโกะจังเต้นแอโรบิก เห็นแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ฮาฮาฮา สีสัน และความเก๋ไก๋แห่งดีไซน์แบบญี่ปุ่น กรุ่นอยู่ในทุกซอกมุมบนถนนโอคาเงะ โยโคโชความสนุกสนานอย่างหนึ่งของการเดินเที่ยวถนนโบราณสายนี้ คือการเดินไปกินไป ฮาฮาฮา ใช่แล้ว ฟังไม่ผิดหรอก เพราะตลอดทางจะมีร้านอาหารและร้านขนมเรียงรายให้ชิมกันจนพุกกาง แนะนำอย่างหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คือ ‘ซอฟท์ครีมเต้าหู้’ อันนึงราคาไม่กี่ร้อยเยน แต่ความอร่อยเกินราคา เนื้อซอฟท์ครีมนวลเนียนหนืดนุ่ม รสไม่หวานจัด กลิ่นหอมติดลิ้นติดจมูกมาก แต่ขอเตือนว่าให้ชิมอันเดียวพอ เพราะเดินไปเรื่อยๆ ยังมีของอร่อยรออยู่อีกเพียบนะสิ ฮาฮาฮาสินค้าพื้นเมืองโดดเด่นที่เป็นเหมือน OTOP ของมิเอะอย่างหนึ่ง ก็สามารถซื้อหากันได้ที่นี่ในสนนราคาไม่แพงเลย นั่นคือ ‘สาหร่ายทะเล’ ในหลากรูปแบบ ทั้งสดและแห้ง บ้างก็มาเป็นผงโรยข้าว จัดเป็นอาหารมีประโยชน์ ที่อุดมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และมีสารคลอโรฟิลด์ในปริมาณสูงปรี๊ด สามารถซื้อกลับเมืองไทยได้ง่าย เพราะแพ็กเกจกระทัดรัดดีจังแต่ร้านที่เราหยุดแวะกันนานที่สุดคือ ร้านขายปลาแห้งของคุณลุงใจดี ที่เปิดหน้าร้านเป็นเตาป้ิงย่างปลาให้ลูกค้าชิมในปริมาณไม่อั้นกันตลอดวัน! ชิมเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ว่าสักคำ จะซื้อไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร ยิ้มแย้มแจ่มใส ร้านนี้ขายเฉพาะปลาแห้งนานาชนิด มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ซื้อกลับบ้านได้เลย วิธีกินก็ง่าย นำมาปิ้งย่างหรือจี่ไฟให้สุกดีก่อน จะได้กลิ่นหอมฉุยชวนน้ำลายสอ และเมื่อได้กัดเข้าไปสักคำตอนร้อนๆ จะรู้สึกถึงความสดใหม่ของปลาแห้ง ซึ่งบางชนิดเป็นปลาไข่ เนื้อหนานุ่ม มีความมันอยู่ในตัว เรียกว่าคุณลุงเขายกทะเลมาไว้ที่นี่จริงๆ!
ปลาแห้งตัวเล็กผอมเรียว ถูกนำไปเรียงไว้บนกระทะแบนร้อนๆ อีกเดี๋ยวเดียวก็ชิมฟรีกันได้ไม่อั้น แต่อย่าลืมเหลือไว้ให้เพื่อนๆ ชิมด้วยล่ะ ฮาฮาฮา
ในร้านมีสัตว์ทะเลแห้งสารพัดชนิดมาแขวนโชว์กันด้วย ว้าว!ชิมแล้วก็ซื้อกลับบ้านกันแทบทุกคน เพราะเป็นปลาแห้งแดดเดียวสดใหม่ และสะอาดน่ากินมากเดินเที่ยวเหนื่อยก็มีร้านน้ำชาสไตล์โบราณยุคเอโดะให้นั่งพักนั่งดื่มกันด้วย แต่อาจต้องรอคิวนิดนึงนะ เพราะลูกค้าแน่นตลอดน้ำชาญี่ปุ่นร้อนๆ แก้หนาว และช่วยบำรุงรักษาสุขภาพไปในตัวนั่งดื่มชาประสานักท่องเที่ยวบนเสื่อตาตามิ พร้อมกับชิมขนมอร่อยๆ ไปด้วย อย่างนี้เรียกว่าเข้าถึงวิถีคนญี่ปุ่นแล้วล่ะอาหารมื้อเที่ยงของวันนี้ ใครจะเลือกกินราเมนร้อนๆ แบบญี่ปุ่นแท้ๆ ในถนนคนเดินก็ได้ หรือใครจะลองลิ้มเทปันยากิสุดอลังการที่ร้าน Tessen ก็ไม่ว่ากันSeafood นานาชนิดได้รับการนำมาประกอบอาหารรสเลิศ เพราะจังหวัดมิเอะมีชายฝั่งทะเลยาวเหยียด เป็นแหล่งสัตว์ทะเลชุกชุมมากหลังจากพาตัวเองย้อนไปในยุคเอโดะและเมจิ พร้อมกับกินอาหารเที่ยงจนอิ่มแปล้แล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังไฮไลท์ของจังหวัดมิเอะ คือ ‘หินแต่งงาน’ (Wedding Rock หรือ Marrige Couple Rocks) ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกว่า ‘Meoto Iwa’ เป็นหินสองก้อนตั้งอยู่ในทะเลใกล้ชายฝั่ง บริเวณศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine) หินก้อนหนึ่งมีขนาดใหญ่ อีกก้อนเล็กกว่า เชื่อมโยงกันด้วยเชือกฟางเส้นใหญ่คล้ายมงคลงสมรสของบ่าวสาวในวันแต่งงาน เรียกว่า ‘ชิเมนาวะ’ (Shimenawa Rope)
ตามตำนานหมายถึงคู่สามีภรรยา คือ เทพอิซานากิ (Izanagi no Okami) และเทพอิซานามิ (Izanami no Okami) ผู้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นบนโลก และให้กำเนิดเทพต่างๆ อีกมากมายแน่นอนว่า นี่คือหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของมิเอะ ซึ่งคู่รักหวานแหว๋วนิยมเกี่ยวก้อยจูงมือกันมาเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่งระหว่างทางเดินเลียบทะเลเข้าสู่หินแต่งงาน มีศาลเจ้าเล็กๆ อยู่ข้างทางให้แวะสักการะกันด้วย ศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงโขดหินริมทะเลที่มองออกไปเห็นหินแต่งงานได้อย่างชัดเจน ในบริเวณนี้มีรูปปั้นและรูปสลักหินเป็นกบน้อยใหญ่มากมาย ใช้เป็นตัวแทนสัญลักษณ์แห่งความโชคดี
ขอให้ความรักมั่นคงยืนยาว หวานชื่น เหมือนหินแต่งงานที่อยู่ด้านหลังเรานี่นะ ตัวเอง คริคริเย็นมากแล้ว เรารีบมุ่งหน้ากลับสู่โรงแรม Shima Spain Mura เพื่อเปลี่ยนชุดไทยเข้าร่วมงานเลี้ยงสุดพิเศษ ‘Mie Thai Night Party’ ที่ทางจังหวัดมิเอะจัดให้กับพวกเราโดยเฉพาะบรรยากาศห้องจัดเลี้ยงสุดหรู กับแขกผู้มีเกียรติทั้งไทยและเมืองมิเอะ ร่วมสานสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างกันแขก VIP ทั้งไทยและจังหวัดมิเอะ ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารค่ำอย่างชื่นมื่นงานนี้ได้รับเกียรติอย่างสูงจาก ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดมิเอะ Mr. Shinichiro Watanabe มาเป็นประธานในงาน นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากเมืองชิมะ (Shima City) คือ ท่านนายกเทศมนตรี Chichiro Takeuchi และท่านเจ้าของโรงแรม Shima Spain Mura คุณ Hirodumi Nakane เข้าร่วมงานด้วยอาหารรสเลิศหลากเมนูจัดเต็มมากคืนนี้ ส่วนใหญ่นำวัตถุดิบจากท้องทะเลอันอุดมสมบูรณ์ของมิเอะ มาปรุงเพื่อโชว์ฝีมือกันเต็มที่
ปลาดิบละลานตา Sashimi of Happinessไม่ได้อร่อยอย่างเดียว แต่ขอบอกว่าฝีมือการจัดแต่งของเชฟมิเอะนี่สุดยอด!ข้าวผัดกุ้งล็อบสเตอร์มิเอะ เมนูนี้มีให้ชิมเฉพาะที่จังหวัดมิเอะเท่านั้น
ข้าวปั้นก็ชวนน้ำลายสอมากๆหอยเชลตัวใหญ่อบเนย จะอดใจไหวได้ไง!แม้แต่ออร์เดิร์ฟยังน่ากิน และมีส่วนผสมของท้องทะเลมิเอะด้วย มิได้ขาด
งานคืนนี้จะสมบูรณ์ไปไม่ได้ หากไม่มีอาหารหรือขนมไทยไปร่วมด้วย โดย พี่ตุ้ย คุณรุ่งนภา คำพญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิล์ด โปร แทรเวิล จำกัด ได้นำขนมไทยนานาชนิดขึ้นเครื่องบินตรงไปให้ชาวมิเอะชิมกัน สร้างสีสันและความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่งทองหยิบ ทองหยอด มาแล้วจ้าท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดมิเอะ Mr. Shinichiro Watanabe ขึ้นกล่าวต้อนรับนักท่องเที่ยวไทยจาก บริษัท เวิล์ด โปร แทรเวิล จำกัด และพร้อมต้อนรับชาวไทยทุกคนที่จะไปเยือนจังหวัดมิเอะ ด้วยมิตรไมตรี
พี่ตุ้ย คุณรุ่งนภา คำพญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิล์ด โปร แทรเวิล จำกัด กล่าวขอบคุณท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดมิเอะ พร้อมกล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีและยาวนาน ในด้านการท่องเที่ยวระหว่างญี่ปุ่นและไทย คุณรุ่งนภา คำพญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิล์ด โปร แทรเวิล จำกัด มอบของที่ระลึกให้กับ ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดมิเอะ Mr. Shinichiro WatanabeParty คืนนี้คือคอนเซ็ปต์ชุดไทย จะไทยแท้หรือไทยประยุกต์ก็ได้ เราเลยได้โอกาสนำขึ้นไปโชว์ให้ชาวญี่ปุ่นได้ซาบซึ้งในวัฒนธรรมไทยอันงดงาม
ต่อด้วยการแสดงดนตรีพื้นเมืองของชาวมิเอะ เสียงกลองฟังแล้วฮึกเหิม จนต้องขยับแข้งขยับขาตามอย่างสนุกเร้าใจ สาวน้อยในชุด ‘อามะ’ (Ama) หรือหญิงนักดำน้ำโดยไม่ใช้แท็งก์อากาศของชาวมิเอะ พร้อมด้วย ‘กุ้งล็อบสเตอร์ยักษ์มิเอะ’ คือ Signature ที่ทำให้มิเอะโดดเด่น และน่าไปเยือนในทุกฤดูกาลความสนุกสนาน และบรรยากาศฉันมิตร ของชาวไทยและชาวมิเอะชุดไทยสวยๆ ได้มีโอกาสไปโชว์ที่มิเอะแล้วนะ
ปิดท้ายงานอันแสนประทับใจด้วย โชว์ระบำสเปนชุดพิเศษ จาก โรงแรม Shima Spain Mura ถือเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดชมเมื่อได้มาพักยังโรงแรมหรูแห่งนี้คืนนี้หลับฝันดีพร้อมกับภาพสาวสเปนในท่วงท่าลีลางดงามราวนางฟ้า!
พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวมิเอะกันต่อ แทบจะรอไม่ไหวแล้วล่ะ เพราะได้ข่าวว่าเขาจะพาไปชมฟาร์มไข่มุกชื่อดังระดับโลก กะว่าจะซื้อกลับไปฝากที่บ้านสักเม็ดสองเม็ด ฮาฮาฮา
Special Thanks : บริษัท เวิล์ดโปร แทรเวิล จำกัด (World Pro Travel Co., Ltd.) สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม
สนใจไปเที่ยวมิเอะ ติดต่อ โทร. 0-2026-3372, line id : wpoutbound หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.worldprotravel.com/tour-program
และ www.facebook.com/WorldProTravel หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ outbound@worldprotravel.com
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!