Explore Mie, Miracle of Kansai (Episode 1)
ขอต้อนรับสู่ ‘จังหวัดมิเอะ’ (Mie Prefecture) ดินแดนแห่งชายฝั่งทะเลตะวันออกอันมีเสน่ห์ของญี่ปุ่น ทอดตัวอยู่อย่าเงียบสงบเคียงข้างมหาสมุทรแปซิฟิกกว้างใหญ่สีครามเข้มสะอาดตา เต็มไปด้วยภูมิประเทศชายฝั่งเว้าแหว่งราวกับฟันเลื่อย จึงเกิดอ่าวน้อยใหญ่อันเป็นสถานที่บ่มเพาะวิถีประมง ฟาร์มหอยนางรม ฟาร์มไข่มุก รวมถึงเป็นบ้านของนักดำน้ำหญิงโดยไม่ใช้แท็งก์อากาศอันลือลั่นของโลก แม้มิเอะจะเป็นจังหวัดเงียบๆ แต่ก็ยังมีอะไรแอบซ่อนอยู่มากกว่านั้น ทั้งวัฒนธรรมอันเก่าแก่ อาหารทะเลสดอร่อย ศาลเจ้าชินโตที่สำคัญที่สุด แถมยังเป็นต้นกำเนิดนินจาที่เราเห็นกันในภาพยนตร์อีกด้วย
มิเอะตั้งอยู่ใจกลางของเกาะฮอนชู โดยอยู่กึ่งกลางระหว่าง เมืองนาโงย่า (Nagoya) และ เมืองโอซาก้า (Osaka) เมืองเอกของมิเอะคือ เมืองทสึ (Tsu) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของคาบสมุทรคิอิ (Kii Peninsula) และการที่มีทะเลขนาบอยู่หลายด้านนี้เอง จึงได้รับอิทธิพลจากลมมหาสมุทรอันชุ่มชื้น บวกกับอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นที่ไหลเวียนเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้อากาศในมิเอะไม่หนาวจนเกินไป บนพื้นราบไม่เคยมีหิมะตก ยกเว้นบนยอดเขาสูงมากๆ มิเอะจึงอุ่นกว่าญี่ปุ่นส่วนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เหมาะกับคนไทยที่กลัวหนาว เที่ยวได้ตลอดปี สวยทั้ง 4 ฤดูเลยทริปนี้ Shutter Explorer เดินทางไปด้วยความเอื้อเฟื้อจาก บริษัท เวิลด์ โปร แทรเวิล จำกัด เพื่อไปสัมผัสความสวยงาม ความน่ารัก ของมิเอะมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง โดยเฉพาะคนที่เป็น ‘นักชิม’ หรือ ‘นักเดินทางเที่ยวไปชิมไป’ (Foodie Traveler) นั้น จะต้องรักมิเอะแน่นอน เพราะที่ เมืองมัตสึซากะ (Matsusaka) คือต้นกำเนิดของเนื้อวัวมัตสึซากะที่ถือว่าแพงและอร่อยที่สุดในโลกน่ะสิ! แถมมิเอะยังเป็นถิ่นที่มี Japanese Lobster หรือกุ้งมังกรญี่ปุ่น ชุกชุมที่สุดอีกด้วย! แหม เกริ่นกันมาซะขนาดนี้คงมีหลายคนนำ้ลายสอแล้ว
ตลอด 4 วันของทริปอันแสนสนุก จะมีอะไรรออยู่บ้าง ต้องไปติดตามกันเลย ณ บัดนี้…หลังจากบินลงที่สนามบินนาโงย่าเรียบร้อยแล้ว เราก็นั่งรถบัสลงมาทางทิศใต้ เข้าสู่ เมืองโคโมโนะ (Komono) ในเขตจังหวัดมิเอะ ไหนๆ ก็หนีร้อนมาจากเมืองไทยแล้ว ขอมาพึ่งเย็นบน ภูเขาโกไซโช (Mt. Gozaisho) บนยอดเขาซูซูก้า กันหน่อยดีกว่า แต่ขอบอกเลยว่าการขึ้นสู่ยอดเขานี้ไม่ธรรมดา เพราะต้องนั่งกระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นไป ซึ่งต้องใช้เวลานั่งกันนานถึง 15 นาที แถมยังมีเสาขึงสายเคเบิลต้นหนึ่งเรียกว่า ‘White Iron Tower’ ที่มีความสูงที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย! ว้าว!กระเช้าลอยฟ้าโกไซโช (Gozaisho Ropeway) ค่อยๆ นำเราสูงขึ้นๆ จากระดับความสูงที่ประมาณ 400 เมตรเหนือน้ำทะเลตรงลานจอดรถ ค่อยๆ ไต่ความสูงตามแนวชันของสันเขาเหนือป่าสนและต้นไม้นานาชนิด ซึ่งในขณะนี้เริ่มผลิใบเขียวต้อนรับฤดูใบไม้ผลิแล้ว ส่วนหิมะขาวบนยอดเขาค่อนข้างบางตา เพราะตอนนี้เป็นปลายฤดูหนาวนั่นเอง ก่อนขึ้นมาเขาบอกว่าอุณหภูมิบนยอดเขา -1 องศาเซลเซียส! แต่พอเห็นปริมาณหิมะ กับแดดเจิดจ้าแล้วก็ไม่กลัว คงไม่หนาวเหมือนที่คิดมั้ง!ระหว่างทาง มองย้อนกลับไปที่เชิงเขา เห็นวิวพาโนรามาของเทือกเขาซูซูก้า นับเป็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอย่างแท้จริงกระเช้าแบ่งเป็น 2 สาย ขึ้นและลงแยกกัน ระหว่างทางจึงมีรถกระเช้าสวนทางลงมาเป็นระยะๆ โดยตู้หนึ่งนั่งได้ประมาณ 6-8 คน แต่เจ้าหน้าที่มักให้นั่งแค่ 6 คน เพื่อความสบายและความปลอดภัย
พี่ตุ้ย หรือ คุณรุ่งนภา คำพญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ โปร แทรเวิล จำกัด นำเราชมบรรยากาศระหว่างทางขึ้นเขา พร้อมบรรยายข้อมูลให้ฟังอย่างจัดเต็ม ทริปนี้ต้องขอบคุณพี่ตุ้ยมากๆ ที่พาเรามาเปิดโลก ค้นหามุมมองใหม่ๆ ของแดนอาทิตย์อุทัยกัน ระหว่างทางขึ้นเขา อย่าอู้หูอ้าหา ตื่นเต้นกับวิวกันจนเพลิน! เพราะตามเพิงผาต่างๆ มีหินรูปทรงประหลาด ขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้างอยู่ทั้งซ้ายขวา เหล่านี้เกิดจากการสึกกร่อนของภูผาหิน โดยลม ฝน หิมะ และความร้อนของเปลวแดด จนปรากฏรูปลักษณ์พิสดารเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นหินรูปหัวเหยี่ยว, หินเทพเจ้าแห่งความสมบูรณ์พูนสุข, หินเทพเจ้าแห่งความโชคดี และหินเทพพิทักษ์ของเหล่าเด็กๆ เป็นต้นนอกจากจะนั่งกระเช้าขึ้นสู่ยอดเขาได้แล้ว ยังมีเส้นทางเดินป่าเทรกกิ้งของนักผจญภัยและคนรักการใช้ชีวิตกลางแจ้งด้วย ถ้าสังเกตให้ดีในภาพนี้จะเห็นนักปีนเขาใส่เสื้อสีเขียว ไปนั่งพักกินข้าวอยู่บนยอดเพิงผาหิน!กระเช้าค่อยๆ พาเราไต่ระดับขึ้นมาจนถึง White Iron Tower ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น! คือตัวเสาเหล็กนี้สูงถึง 61 เมตร ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 940 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ประวัติเล่าว่าเสาเหล็กขนาดยักษ์นี้สร้างเสร็จและเปิดใช้งานเมื่อปี ค.ศ. 1959 แต่เพิ่งมาทาสีขาวเมื่อปี ค.ศ. 1961 หลังจากทาสีขาวแล้วมันก็ได้กลายเป็น Landmark สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ Gozaisho Ropeway ไปโดยปริยาย แถมยังมองเห็นได้จากระยะไกลกว่า 40 กิโลเมตรโน่นเลยทีเดียว และคนญี่ปุ่นจินตนาการกันเล่นๆ ว่า มันคล้ายกับหอคอย Tokyo Tower ย่อส่วนเลยล่ะ ถึงแล้ว ยอดเขาโกไซโช ความสูง 1,212 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โชคดีหิมะยังละลายไม่หมด เลยได้ชื่นชมความงามของควันหลงฤดูหนาว วันนี้ฟ้าใส ไม่มีลม แถมแดดเจิดจ้า อุณหภูมิ -1 องศาเซลเซียส เลยทำอะไรเราไม่ได้บนยอดเขาโกไซโช มีจุดชมวิวต่างๆ เชื่อมโยงถึงกันด้วยทางเดินระยะไม่ไกล สามารถใช้เวลาอยู่บนนี้ได้เป็นชั่วโมงๆ เพื่อถ่ายภาพ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ อย่างในฤดูหนาว เขาก็มีลานหิมะให้เล่นสกีและเลื่อนหิมะ หรือถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนที่มีดอกไม้ป่าเบ่งบานเยอะ ก็สามารถเดินเที่ยวป่าศึกษาธรรมชาติกันได้เป็นวันๆ เช่นเดียวกันในฤดูใบไม้ร่วง ป่าทั้งหมดบนเขาก็จะผลัดใบเป็นสีสันฉูดฉาดบาดตา น่าประทับใจมาก เมื่อหิมะเร่ิมละลาย ใบไม้เขียวๆ ก็แทงยอดออกมารับแสงแดดอุ่นของฤดูกาลใหม่จุดนี้เรียกว่า Choyodai Observatory เป็นเหมือนจุดชมวิวที่มีกล้องไว้ให้เราส่องดูภูมิประเทศโดยรอบ ว่ากันว่าในวันที่ฟ้าเปิดอากาศแจ่มใส จะมองได้ไกลถึงเมืองนาโงย่า และแลเห็นสนามบิน Chubu International Airport ได้เลยล่ะ สุดยอดไปเลย! จากนั้นเราก็เดินฝ่าหิมะลื่นที่กำลังละลาย ไปเที่ยวลานสกี ตรงนี้คือ Ski Slope ที่จัดไว้ให้นักเล่นสกี สโนว์บอร์ด และเลื่อนหิมะ ได้มาสนุกกัน แต่ตอนนี้ผู้คนบางตา เพราะเป็นปลายฤดูหนาวแล้วนั่นเองสนุกสนานกับเลื่อนหิมะลงมาตาม Ski Slope
นักสกีสาวกำลังวาดลวดลายอยู่บน Ski Slope
แม้แดดจะเจิดจ้า แต่ก็ยังหนาวไม่ใช่เล่น การขึ้นมาเที่ยวบนอดเขาโกไซโชจึงต้องแต่งกายให้อบอุ่น เสื้อกันหนาว หมวก ถุงมือ รวมทั้งแว่นกันแดด ต้องพร้อม
ตรงมุมหนึ่งบนยอดเขา เราพบ Snow Wall หรือกำแพงหิมะสูงประมาณ 4-5 เมตร ทำให้ได้บรรยากาศของดินแดนอันแสนหนาวเหน็บ เสียดายมาช้าไป เราเลยไม่ได้เห็น Ice Monster หรือปีศาจหิมะ เกิดจากหิมะตกหนักบนยอดเขาสูงไปเกาะอยู่ตามกิ่งสนและต้นไม้ จนเกิดเป็นรูปร่างคล้ายยักษ์หรือปีศาจสีขาว ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขานั้น ปีหน้าคงต้องกลับมาเที่ยวใหม่แล้วล่ะ
จากลานสกีและ Snow Wall เราต้องกลับไปที่สถานีขึ้นกระเช้าอีกครั้ง เพื่อกลับลงเขา แต่ไม่ต้องเดินให้เมื่อยตุ้ม เพราะเขามี Ski Lift เป็นกระเช้านั่งเดี่ยวแบบห้อยขา พาเราชมวิวได้อย่างเพลิดเพลินและปลอดภัยมากSki Lift เตี้ยๆ แสนปลอดภัย ช่วยประหยัดแรงไม่ต้องเดิน
นั่ง Ski Lift ชมวิวซะเลยเรากลับลงมาจากยอดเขาโกไซโชอย่างประทับใจในหิมะขาวและความหนาวเย็น แบบที่คนเมืองร้อนอย่างเราไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก ถึงเวลานั่งรถต่อไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ร้านสุดเก๋สไตล์โมเดิร์น ‘Aqua x Ignis’ ซึ่งยังอยู่ในเมืองโคโมโน (Komono) เช่นกันชื่อร้าน Aqua x Ignis แปลว่า ‘น้ำ’ และ ‘ไฟ’ มีที่มาจากแหล่งน้ำแร่ใต้พิภพอันเป็นต้นกำเนิดของที่นี่ และผสานผสมกลมกลืนกันได้อย่างลงตัว ทางรัฐบาลจึงจัดสร้าง Complex ขนาดใหญ่นี้ขึ้น โดยให้เอกชนเข้ามาบริหารจัดการ แบ่งปันผลกำไรเข้าสู่เมือง ได้ผลดีกันทุกฝ่าย สำหรับคนที่ท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมา นิยมแวะทานอาหารฟิวชั่นในภัตตาคารสุดโมเดิร์นสไตล์อิตาเลี่ยน บ้างก็มาพักรถนั่งชมวิว แวะเก็บผลไม้ ส่วนคนที่มีเวลาเยอะ และตั้งใจมาจริงๆ Aqua x Ignis ก็ยังมีบ่อน้ำแร่ร้อนออนเซน กับที่พักอย่างดีไว้บริการด้วย
มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายภาพมากมายอย่างไม่รู้เบื่อมื้อเที่ยงวันนี้เราได้ชิมอาหารอิตาเลี่ยน ในร้าน Sa-la bianchi Al-che-ccino จัดมาเป็นคอร์สใหญ่ จนอิ่มแปร้เลยล่ะ เริ่มต้นด้วยซุปครีมฟักทอง รสนวลมาก หอมนุ่ม เรียกน้ำย่อยได้ดีที่สุดมาแล้ว Main Course หน้าตาน่าทานเป็นอย่างยิ่ง สปาเก็ตตี้ผัดซอส
กลัวไม่อิ่ม เลยมีพิซซ่าชีสเห็ดเสิร์ฟมาให้กินกันตอนร้อนๆ อร่อยจนบรรยายไม่ถูกเลยตบท้ายด้วยไอศกรีมชาเขียว พร้อมเค็กเนื้อแน่นนุ่ม อิ่มแล้วก็มีแรงเที่ยวต่อ จากร้านอาหารอิตาเลี่ยน เดินไปแค่ไม่กี่อึดใจก็ถึง Tsujiguchi Farm อันเป็นส่วนหนึ่งของ Aqua x Ignis เช่นกัน ตรงนี้เป็นฟาร์มออร์แกนิก ที่ปลูกผลไม้ตามฤดูกาล ให้นักท่องเที่ยวเสียตังค์เข้าไปเก็บสดๆ จากต้น เพื่อรับประทานได้ทันที เนื่องจากปลอดสารพิษ ปลอดฝุ่น เพราะเขาปลูกไว้ในโรงเรือนปิดอย่างดีนั่นเองวันนี้เราจะมาเก็บสตอว์เบอร์รี่สดๆ ลูกใหญ่ๆ กัน เพราะในปลายฤดูหนาวต่อต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างนี้ สตอว์เบอร์รี่จะออกผลเยอะมาก แถมอร่อยด้วย แต่ก่อนเข้าไปเก็บ ต้องฟังบรรยายสรุปก่อน คือเขาจะแจกถุงพลาสติกเล็กๆ ให้คนละใบ เพื่อเอาไว้ใส่ขยะต่างๆ ไม่ให้ทิ้งเรี่ยราดลงพื้นเด็ดขาด (บอกแล้วว่าพี่ยุ่นเขาเอาจริงเรื่องความสะอาด) นอกจากนี้เวลาเก็บสตรอว์เบอร์รี่ ให้เด็ดตรงขั้ว ไม่ต้องดึงก้านมันออกจากต้น กินได้มากเท่าที่เราต้องการ กินไปเลย (เพราะเสียตังค์แล้ว ฮาฮาฮา) แต่ห้ามเก็บใส่กระเป๋าออกมานะ ส่วนเวลา วันนี้เรามีประมาณ 40 นาที แปลงสตรอว์เบอร์รี่ที่แบ่งไว้เป็นสัดส่วนอย่างเป็นระเบียบ และสะอาดสะอ้านมากๆๆๆๆๆๆๆช่วงเวลาแห่งความสุข เก็บชิมได้เลยตามใจชอบ บางคนบอกว่าชอบในแปลงเบอร์ 3 เพราะลูกใหญ่มาก และหอมหวาน กลิ่นติดลิ้นติดจมูก แต่บางคนก็ชอบแปลงเบอร์ 5 กัลเบอร์ 7 เพราะแม้ลูกจะเล็กกว่า แต่เนื้อแน่นสู้ปาก ส่วนความหวานหอม ไม่เป็นรองใครเช่นกันพี่ตุ้ย กับ Moment แห่งความสุข ในสวนสตรอว์เบอร์รี่ Tsujiguchi Farm ดูกันชัดๆ กับดอกสตรอว์เบอร์รี่สีขาวสะอาดขนาดเล็กจิ๋ว น่ารักน่าชังมากๆ เลยเนอะ
จากสวนสตรอว์เบอร์รี่ เรานั่งรถต่อกันอีกไม่ไกลก็ถึง เมืองซูซูกะ (Suzuka) ได้เวลาไปช้อปปิ้งกันตั้งแต่วันแรกที่เหยียบพื้นดินญี่ปุ่นเลยทีเดียว เจ้าหน้าที่ของ ห้างสรรพสินค้า AEON Mall สาขาเมือง Suzuka เขียนป้ายมายืนรอต้อนรับกันถึงลานจอดรถเลย น่ารักมากๆ อย่างนี้ก็ต้องไปกระจายรายได้กันสักแสนสองแสนล่ะ ฮาฮาฮา ห้าง AEON Mall สาขานี้ใหญ่โตมาก มี 2 ชั้น ชั้นล่างมีเครื่องสำอาง ยา เสื้อผ้า ของใช้ในบ้านทุกชนิด รวมไปถึงซุปเปอร์มาเก็ตด้วย ส่วนชั้นบนเป็นของเด็ก กับเสื้อผ้าแบรนด์ Muji อย่าลืมพก Passport ลงไปด้วย เผื่อใช้ทำ Vat Refund 8% ได้ สินค้าน่าซื้อที่คนไทยฮิตกัน ก็มีพวกโฟมล้างหน้า, ครีมกันแดด, แผ่นความร้อนแก้ปวดเมื่อย, วิตามินต่างๆ, เครื่องสำอางสารพัดชนิดของสาวๆ, ขนม, ผลไม้, อาหารแห้ง, ผงโรยข้าว, สาหร่ายแห้ง ฯลฯ เขามีส่วนที่เป็น Shopping Mall ด้วย แต่เน้นพวกเสื้อผ้าเป็นหลัก ตอนนี้เสื้อผ้าฤดูหนาวเก็บไปหมดแล้ว เป็น Collection ของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ที่เนื้อบางสวมใส่ง่าย แต่มีดีไซน์เก๋ไก๋หลังจากช้อปปิ้งกันพอหอมปากหอมคอเกือบ 2 ชั่วโมง ที่ AEON Mall เราก็นั่งรถลงมาทางทิศใต้ ใช้เวลาไปชั่วโมงกว่า จนถึงเมืองต้นกำเนิดเนื้อวัวมัตสึซากะอันลือลั่นของโลก ณ เมืองมัตสึซากะ (Matsusaka) แน่นอนว่า Dinner วันนี้ต้องไม่พลาดชิมเนื้อวัวระดับ 5A ที่ขึ้นชื่อว่าแพงและอร่อยที่สุดในโลก! ของภัตตาคาร Dream Ocean ซึ่งเป็นร้าน BBQ Buffet ร้านแรกในประเทศญี่ปุ่น!
เนื้อวัวรสเลิศในญี่ปุ่นนั้นมีอยู่หลายชนิด ทั้งเนื้อโกเบ เนื้อวากิว และเนื้อมัตสึซากะ ความอร่อยแต่ละคนก็ว่าต่างกันไปตามความชอบ แต่ที่ทำให้เนื้อวัวมัตสึซากะแพงและอร่อยที่สุดนั้น ส่วนหนึ่งคงมาจากสายพันธุ์ American Black Cattle ที่นำเข้ามาปรับปรุงพันธุ์จากอเมริกาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนได้สายพันธุ์ใหม่ในแบบพี่ยุ่น คือ Japanese Black เป็นวัวสีดำ ขนดำ ตัวใหญ่เหมือนกระทิง บวกกับวิธีการเลี้ยงสุดพิสดาร คือมีการเปิดเพลงให้วัวฟังคลายเครียด มีการนวดคลึงกล้ามเนื้อ ให้กินอาหารที่มีกากใยสูงอย่างฟางชนิดพิเศษ แถมให้ดื่มเบียร์ทุกวัน (อย่างน้อยวันละ 6 ขวด) อีกทั้งเป็นการเลี้ยงแบบให้โตช้าๆ จึงเกิดเส้นไขมันลายร่างแห หรือลายหินอ่อน เป็นเส้นไขมันสีขาวแทรกแซมอยู่ในเนื้อสีแดงสด เมื่อนำมาปิ้งย่างให้สุกปานกลาง จิ้มน้ำจิ้มหรือโรยเกลือเล็กน้อย ใส่เข้าปากก็แทบจะละลายทันที แทบไม่ต้องเคี้ยว (เพราะมีไขมันมากนั่นเอง) ซึ่งเป็นไขมันตัวดี ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
บุฟเฟ่ต์ของร้าน Dream Oceam ไม่ได้มีแต่เนื้อวัวมัตสึซากะ ระดับ 4A และ 5A ให้ชิมเท่านั้น ทว่าในไลน์บุฟเฟ่ต์ยังมีหมู เห็ด เป็ด ไก่ และเครื่องดื่มนานาชนิด ให้ชิมกันได้ไม่อั้นจนกว่าเราจะอิ่มจนจุกและเลิกกินไปเอง! แต่มาถึงดินแดนต้นกำเนิดมัตสึซากะทั้งที มื้อนี้เราเลยขอเน้นเนื้อวัวล้วนๆ ซึ่งก็มีมาหลายแบบนะ ทั้งแบบแล่แผ่นบาง มาเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมหนาๆ และมีแบบแผ่นบางหมักซอสญี่ปุ่นพร้อมด้วยงาขาว แหม โออิชิ!ดูกันชัดๆ เนื้อมัตสึซากะระดับ 5A ต้องมีเส้นไขมันเป็นร่างแห หรือลายหินอ่อนแบบนี้ล่ะ
เนื้อมัตสึซากะหมักซอสญี่ปุ่นผสมงาขาว สุดยอดดดดด!ปิ้งกันควันโขมงโฉงเฉง เอาแค่สุกปานกลางพอนะ ถ้าสุกเกินไปเนื้อจะไม่นุ่ม
ได้ที่แล้ว รีบยกขึ้นจากเตามาหม่ำเลยดีกว่าช่วงเวลแห่งความอร่อย กับบุฟเฟ่ต์นานาชนิด เตานี้มีครบ ทั้งเนื้อมัตสึซากะ หมู ไก่ เตรียมขยายเอวกางเกงกันเลยดีกว่า!วันแห่งความสุข จบลงที่โรงแรมหรูใหญ่โตที่มีเตียงนุ่มๆ รอเราอยู่ คือ Shima Spain Mura หรือ Shima Spain Village ที่นำเอา theme การสร้างและตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสเปนมาไว้ที่มิเอะได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เราจะพักกันที่นี่ 3 คืนรวด กลางวันนั่งรถออกไปเที่ยวให้มันส์ กลางคืนกลับมานอนที่เดิม เจ๋งมาก จะได้ไม่ต้องแพ็กกระเป๋ากันบ่อยๆ
เรื่องราวสนุกๆ ของการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดมิเอะของเรายังมีอีกเพียบ โปรดติดตามต่อในตอน 2 / ตอน 3 และตอน 4 นะครับ
ส่วนตอนนี้ ขอตัวไปงีบก่อนล่ะ เพราะเนื้อมัตสึซากะกำลังดิ้นอยู่เต็มท้องเลย ฮาฮาฮา
Special Thanks : บริษัท เวิล์ดโปร แทรเวิล จำกัด (World Pro Travel Co., Ltd.) สนับสนุนการเดินทางจัดทำสารคดีเรื่องนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม
สนใจไปเที่ยวมิเอะ ติดต่อ โทร. 0-2026-3372, line id : wpoutbound หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.worldprotravel.com/tour-program
และ www.facebook.com/WorldProTravel หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ outbound@worldprotravel.com
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!