Mongolia ดินแดนแห่งเจงกิสข่าน
ที่นี่คือ “มองโกเลีย” (Mongolia) ดินแดนยิ่งใหญ่กว่า 1.5 ล้านตารางกิโลเมตร ในเอเชียกลาง ที่ซึ่งเจงกิสข่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เคยนำกองทัพขี่ควบม้าศึก นี่คือดินแดนของทุ่งหญ้าเสต็ปกว้างใหญ่สุดลูกหูลุกตา ซึ่งมวลดอกไม้ป่าผลิบานละลานตาในช่วงฤดูร้อน อาบอิ่มด้วยไอแดดอุ่น มีฝูงม้า อูฐ จามรี วัว และแกะ กว่า 50 ล้านตัว ดุ่มเดินหากินอยู่อย่างเสรี เคียงคู่สายน้ำใสที่ละลายไหลมาจากภูเขาหิมะตระหง่าน
มันคือช่วงต้นเดือนสิงหาคมซึ่งตรงกับฤดูร้อนในมองโกเลีย ที่ผมและผองเพื่อน บินสู่ประเทศในฝัน อันสวยงามนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวหิมะที่เคยปกคลุมละลายไปหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงสายน้ำใสเย็นไหลลงมายังท้องทุ่ง เติมเต็มความชุ่มฉ่ำแก่ทุ่งหญ้าระบัดใบเขียวชอุ่ม ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดอกไม้ผลิบานละลานตา แต่หลายคนยังมีความเข้าใจสับสนอยู่ ระหว่าง ประเทศมองโกเลีย (Mongolia หรือ Outer Mongolia) กับ มองโกเลียใน (Nei Mongolia หรือ Inner Mongolia) นั้น เป็นคนละเขตพื้นที่กันเลย! เพราะ “มองโกเลีย” ที่เรากำลังจะไปเยือนเป็นประเทศเอกราชอิสระ ส่วน “มองโกเลียใน” คือเขตปกครองตนเองของจีนภาคเหนือ
“อุทยานแห่งชาติเตเรจ” (Terelj National Park) โดดเด่นด้วยเทือกเขาหิน ทุ่งหญ้า ป่าสน ลำธารใส และหมู่กระโจมสีขาวเป็นหลังๆ ที่เรียกว่า “เกอร์” (Ger) ซึ่งชาวมองโกเลียส่วนใหญ่ใช้อาศัย เพราะเขามีนิสัยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกันมาแต่โบราณกาล ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงแกะ แพะ วัว จามรี อูฐสองหนอก และม้า ชาวมองโกเลียเชื่อว่า “ม้า” คือสัตว์สำคัญที่สุด นอกจากจะเป็นเพื่อน ช่วยทำงานให้แล้ว ยังจะนำวิญญาณของมนุษย์ขึ้นสู่สวรรค์อีกด้วย เราจึงพบม้าและรูปของม้าได้ทั่วไปในประเทศนี้ครับ ชาวมองโกเลียจะสอนให้ลูกขี่ม้าก่อนหัดเดินเสียอีก ม้าจึงสำคัญยิ่งยวดต่อชีวิตในทุกมิติ
ฤดูกาลนี้ในอุทยานแห่งชาติเตเรจมีดอกไม้ป่าที่ชอบอากาศเย็นสบายกลางแดดอุ่น เบ่งบานเต็มท้องทุ่งนับล้านๆๆๆ ดอก ทั้งสีขาว เหลือง ชมพู ม่วง ฟ้า ส้ม แดง และแทบทุกเฉดสีที่นึกออก ส่วนใหญ่เป็นดอกเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม เบ่งบานแผ่เป็นพรมดอกไม้ไปทั่วทุ่ง สลับกับสายน้ำเล็กๆ ไหลซอกซอนตวัดโค้งไปมา เราพบนักท่องเที่ยวกำลังขี่อูฐเล่น บ้างก็กำลังดูเหยี่ยวและอีแร้งดำตัวใหญ่เท่าคน! ซึ่งชาวเร่ร่อนนำมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพเก็บตังค์ ภูมิประเทศโดยรอบเป็นเทือกเขาหินลวดลายแปลกประหลาด หินบางก้อนถูกลม ฝน หิมะ และกาลเวลา กัดเซาะจนมีรูปร่างคล้ายเต่ายักษ์ บางก้อนคล้ายจานบิน ดอกเห็ด หรือไม่ก็เป็นแท่งเสาหินยืนโด่เด่ อีกทั้งยังมีป่าสนทอดยาวออกไปตามเชิงเขา สลับกับลำธารน้ำใสแจ๋ว สะท้อนสีของฟ้าครามลงมาบนแผ่นน้ำ ภูมิประเทศนี้ชวนให้นึกถึงป่าแถบเทือกเขาร็อกกี้ในอเมริกาเหนือและแคนาดา ที่คล้ายกันยังกับฝาแฝด!
ไปขี่ม้าเที่ยวชมธรรมชาติที่อุทยานแห่งชาติเตเรจกันเถอะ
ชีวิต สายลม แสงแดด และทุ่งหญ้ากว้าง ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวที่อุทยานแห่งชาติเตเรจ
การขี่ม้าเที่ยวทุ่งหญ้ากว้างของมองโกเลีย จะทำให้เราได้สัมผัสจิตวิญญาณของดินแดนนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับว่าเราเป็นทหารม้าของเจงกิสข่านยังไงยังงั้น!
ฝูงจามรีกลางทุ่งดอกไม้ฤดูร้อนในอุทยานแห่งชาติเตเรจ
คนมองโกเลียผูกพันกับม้าที่สุด เขามักพูดเล่นๆ กันว่า เด็กมองโกเลียจะขี่ม้าได้ก่อนเดินได้เสียอีก!
“อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน” (Genghis Khan Statue Complex) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2008 บริเวณริมแม่น้ำทูล ในจุดที่เชื่อกันว่าเจงกิสข่านได้พบแส้ม้าทองคำอันศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์ใช้ในตลอดพระชนม์ชีพ เมื่อมองจากระยะไกลอนุสาวรีย์นี้ใหญ่โตมโหฬารมากจนแทบไม่น่าเชื่อ เป็นโลหะสแตนเลสสตีลไร้สนิม สีเงินวาววับสะท้อนแสงอาทิตย์ สูง 40 เมตร หนักถึง 25 ตัน สร้างเป็นเจงกิสข่านในท่านั่งบนหลังม้า ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! ไฮไลท์ก็คือ เวลาที่เราขึ้นลิฟท์และเดินเท้าต่อไปยังส่วนหัวม้า เพื่อเผชิญหน้ากับเจงกิสข่านแบบจังๆ พร้อมกับชมวิวท้องทุ่งมองโกเลียจากมุมสูงเกือบ 40 เมตรเหนือพื้นดิน มองได้รอบตัวแบบสุดสายตาพาโนรามา
คนมองโกเลียแท้ๆ ต้องอาศัยอยู่ในกระโจมเหมือนเมื่อครั้งบรรพบุรุษ
นี่ล่ะครับ อนุสาวรีย์เจงกิสข่านที่ทำจากโลหะ ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! ขนาดมหึมาจริงๆ
“อูลันบาตอร์” (Ulaanbaatar) เมืองหลวงของมองโกเลีย เป็นเมืองทันสมัย มีตึกระฟ้า รถราจอแจ อาคารพาณิชย์คึกคัก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิง และโรงเรียน เห็นภาพชีวิตที่เคลื่อนผ่านไปในทุกวินาที หนุ่มสาวมองโกเลียส่วนใหญ่แต่งตัวนำสมัยเหมือนวัยรุ่นไทยนั่นล่ะ แต่คนสูงอายุจะยังคงแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ คล้ายชุดชาวทิเบตที่ดูแปลกตา เป็นเสื้อคลุมแขนยาว ใส่รองเท้าบูท และมีหมวกทรงแหลม ดูแล้วทะมัดทะแมงสมเป็นชนชาตินักรบมาแต่โบราณกาล ชวนให้นึกถึงฉากท้องทุ่ง กระโจม ฝูงสัตว์ และกีฬามวยปล้ำอันเป็นกีฬาประจำชาติของเขา
“วัดกานดาน” (Gandan Monastery) เป็น วัดพุทธขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดในมองโกเลีย ในนิกายวัชรยานแบบทิเบต สร้างขึ้นโดยโบกด์ข่าน (Bogd Khan) เมื่อปี ค.ศ. 1835 แต่ก็ถูกทำลายเกือบย่อยยับสมัยโซเวียตปกครอง เพราะสตาร์ลินผู้นำโซเวียตยุคนั้นมองว่าศาสนาคือยาพิษ สั่งทำลายวัดนับร้อยแห่งในมองโกเลีย จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่รูปหล่อโลหะพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสูง 20 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1911-1912 แลตระหง่านอลังการ เป็นศูนย์รวมใจของผู้คนเสมอมา วัดกานดานมีสภาพคล้าย “Buddhist Complex” หรือชุมชนพุทธศาสนา เพราะนอกจากวิหารใหญ่ตรงกลางแล้ว ยังมีวิหารน้อย และกระโจมของนักแสวงบุญตั้งรายล้อมอยู่อีกมาก ภายในวัดมีวิถีพุทธวัชรยานเบ่งบานไปทั่วทุกอณู ทั้งริ้วธงมนต์ผูกโยงปลิวไสว พร้อมด้วยวงล้อมนตราน้อยใหญ่จารึกมนต์ “โอม มณี ปัทเม หุม” ให้นักแสวงบุญได้เดินภาวนาและหมุนไปพร้อมกัน ในวิหารน้อยรอบๆ มีหอสวดมนต์ เราจะเห็นชาวมองโกลมากราบนอนราบแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” กันล้นหลาม
“พระราชวังฤดูหนาว” ของจักรพรรดิ์มองโกลองค์สุดท้าย โบกด์ข่าน ซึ่งปัจจุบันดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ในนามว่า “Bogd Khan’s Palace Museum” ภายในแบ่งพื้นที่เป็นหลายชั้นใช้เก็บรักษาวัตถุโบราณล้ำค่า ทั้งอาวุธโบราณ, ผ้าทังก้า (ผ้าพระบฏ) บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนา, พระพุทธรูป, รูปเคารพพระโพธิสัตว์, เครื่องเคลือบถ้วยชามโบราณ, ชุดเครื่องทรงของท่านข่านและมเหสี, ราชรถ ฯลฯ สิ่งของล้ำค่าที่จัดแสดง ทำให้เราได้เห็นอิทธิพลของศิลปะจีน และคติความเชื่อทางศาสนาทิเบต ซึ่งหลอมรวมกันอย่างแจ่มชัด
ชุดพื้นเมืองของคนมองโกเลีย สวย มีเอกลักษณ์ เหมือนที่เราเห็นในหนังจีนไม่มีผิดเลย
“จัตุรัสสุคบาตาร์” (Sukhbaatar Square) ด้านหน้าตึกทำเนียบรัฐบาล นี่คือจัตุรัสกว้างที่จุคนได้นับหมื่น สร้างเป็นที่ระลึกแด่ท่าน ดัมดิน สุคบาตาร์ (Damdin Sukhbaatar) ผู้นำกองทัพปลดแอกมองโกเลียจากการยึดครองของจีนได้สำเร็จเมื่อปี ค.ศ. 1921 จากใจกลางจัตุรัส ถ้ามองไปสุดด้านทิศเหนือก็คืออาคารหินอ่อนสีขาวขนาดมหึมา ที่สร้างขึ้นในวาระครบ 800 ปี แห่งการครองราชย์ของเจงกิสข่าน (เมื่อปี ค.ศ. 2006) ด้านหน้าอาคารนี้คือจุดที่มีคนมาถ่ายรูปกันเยอะที่สุด เพราะเป็นที่ประทับรูปหล่อโลหะบรอนซ์สีดำขนาดยักษ์ในท่านั่งของ เจงกิสข่าน (Genghis Khan) อยู่ตรงกลาง โอกิไดข่าน (Ogedei Khan : ลูกชายคนที่ 3 ของเจงกิสข่าน) เคียงคู่อยู่ทางตะวันตก และกุบไลข่าน (Kublai Khan : หลานชายของเจงกินสข่าน) อยู่ทางตะวันออก ข่านสององค์หลังนี้แหละ ที่รับช่วงภาระกิจขยายดินแดนต่อจากเจงกิสข่าน จนอาณาจักรมองโกลแผ่ขยายไปเกือบทั่วโลก ด้านทิศเหนือกินไปถึงตอนกลางของรัสเซีย ด้านทิศใต้ครองไปจรดอินเดียเหนือ, พุกามในพม่า, ลาวเหนือ, อาณาจักรจามปาตลอดทั้งเวียดนาม รวมทั้งยังเกือบได้อาณาจักรสุโขทัย! ส่วนทิศตะวันออกครองไปจรดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เกาหลีและจีน ฝั่งตะวันตกจรดทะเลดำ ตะวันออกกลางทั้งหมด และประเทศฮังการีในยุโรปโน่นเลยเทียว!
“อนุสรณ์สถานการต่อสู้ไซซาน” (Zaisan Memorial) ซึ่งสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกให้ทหารโซเวียตผู้พลีชีพ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวอนุสรณ์ฯตั้งอยู่บนยอดเขามองลงไปเห็นตัวเมืองอูลันบาตอร์ได้แบบพาโนรามา เป็นจุดชมวิวชั้นยอด เพราะเห็นการเติบโตของตัวเมืองที่ขยายออกไปสู่ตีนเขารอบๆ นอกจากนี้ยังมองเห็นแม่น้ำทูล (Tuul River) ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านตัวเมืองไป ถ่ายรูปได้แจ่มจริงๆ
การได้มาเยือนมองโกเลียครั้งนี้ ทำให้เราได้ประจักษ์ว่า ยังมีอีกดินแดนหนึ่งในโลกที่งามจับใจ และผมสัญญากับตัวเองว่า จะต้องกลับมาที่นี่อีกเมื่อมีโอกาสอย่างแน่นอน
Special Thank บริษัท Nikon Sales (Thailand) Co., Ltd. สนับสนุนสุดยอดอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพ
สนใจติดต่อ โทร. 0-2633-5100 / แฟ็กซ์ 0-2633-5191 (Office) / 0-2633-5192 (Service) www.nikon.co.th
Traveler’s Guide
Best season : ช่วงเดือนสิงหาคม อันเป็นช่วงฤดูร้อนของมองโกเลีย มีทั้งดอกไม้บานและฟ้าใสแจ๋ว อากาศก็กำลังอุ่นสบายไม่หนาวจัด เหมาะสำหรับคนไทยไปท่องเที่ยว
How to go : จากเมืองไทย ช่วงแรกบินไปฮ่องกงก่อน เพื่อเปลี่ยนเครื่องไปใช้สายการบิน Mongolian Airlines เพื่อบินสู่เมืองอูลันบาตอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวง ใช้เวลาเดินทางรวมแล้วประมาณ 6-8 ชั่วโมง ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวมองโกเลีย ถ้าเที่ยวเองยังเป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก อุปสรรคสำคัญคือภาษา วิธีสะดวกที่สุดในขณะนี้คือซื้อแพ็กเกจทัวร์ไปจากเมืองไทย จะได้มีที่พักและพาหนะพร้อมเลย
Contact : บริษัท Global Union Express เป็นผู้เชี่ยวชาญการนำเที่ยวในประเทศมองโกเลีย สอบถามได้ที่ โทร. 0-2308-2104 เว็บไซต์ www.guetravel.com
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!